https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/JSTNSRU/issue/feed
SCIENCE AND TECHNOLOGY NAKHON SAWAN RAJABHAT UNIVERSITY JOURNAL
2024-09-30T16:23:06+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.ชลดา เดชาเกียรติไกร ธีรการุณวงศ์
chonlada.d@nsru.ac.th
Open Journal Systems
วารสารวิชาการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (NSRU Science and Technology Journal)
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/JSTNSRU/article/view/248859
การเปรียบเทียบตัวแบบอิงพารามิเตอร์สามตัวแบบในการทำนายการลดลงของประชากรเชื้อก่อโรค
2024-04-04T00:08:48+07:00
KANNAT NA BANGCHANG
kannat@mathstat.sci.tu.ac.th
<p> </p> <p> </p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 SCIENCE AND TECHNOLOGY NAKHON SAWAN RAJABHAT UNIVERSITY JOURNAL
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/JSTNSRU/article/view/253840
การกักเก็บคาร์บอนของไม้ต้นบริเวณเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จังหวัดนครสวรรค์
2024-04-26T18:15:14+07:00
ธนิษฐา กันทะวงค์
jubjub_jib@hotmail.com
<p>การเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งผลต่อสถานการณ์โลกร้อนอย่างรุนแรง การศึกษาการกักเก็บคาร์บอนจึงเป็นวิธีที่หลายภาคส่วนใช้ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก พื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จังหวัดนครสวรรค์เป็นพื้นที่ป่าเต็งรังอยู่ใกล้เขตชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรมและยังไม่มีข้อมูลการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสํารวจพันธุ์ไม้ในพื้นที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติเพื่อทราบปริมาณมวลชีวภาพของต้นไม้และทราบปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่โครงการฯ ขนาดพื้นที่ 3.68 เฮกตาร์ โดยการสุ่มวางแปลงตัวอย่าง 3 แปลง คิดเป็นร้อยละ 13 ของพื้นที่ทั้งหมด โดยวางแปลงจากความหนาแน่นของจำนวนต้นไม้ 3 ระดับ คือ ความหนาแน่นมาก ปานกลาง และน้อย ขนาด 0.16 เฮกตาร์ ผลการศึกษา พบว่า บริเวณพื้นที่ศึกษาพบพรรณไม้ทั้งหมด 409 ต้น 48 ชนิด 42 สกุล 24 วงศ์ โดยพันธุ์ไม้ที่พบมากที่สุด คือ เหียง (<em>Dipterocarpus obtusifolius</em> Teijsm. ex Miq.) มีค่าดัชนีความสำคัญของพันธุ์ไม้เท่ากับ 55.18 รองลงมา คือ ประดู่ป่า (<em>Pterocarpus macrocarpus</em> Kurz) 22.49 ตามด้วย กุ๊ก (<em>Lannea coromandelica</em> (Houtt.) Merr.) งิ้วป่า (<em>Bombax anceps</em> Pierre var. Anceps) และตะแบกเลือด (<em>Terminalia corticosa </em>Pierre ex Laness.) 21.48, 19.77, 11.93 ตามลำดับ มวลชีวภาพเฉลี่ย 173.88 ตัน/เฮกตาร์ มวลชีวภาพรวม 639.86 ตัน สามารถกักเก็บคาร์บอนได้เฉลี่ย 81.71 ตัน/เฮกตาร์ กักเก็บคาร์บอนได้ทั้งหมด 300.69 ตัน ข้อมูลที่ได้นี้สามารถนำไปส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ป่าและเป็นฐานข้อมูลทรัพยากรป่าไม้ของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 (นครสวรรค์) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต่อไป</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 SCIENCE AND TECHNOLOGY NAKHON SAWAN RAJABHAT UNIVERSITY JOURNAL
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/JSTNSRU/article/view/253024
การพยากรณ์ปริมาณการใช้น้ำประปาในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ ด้วยวิธีการวิเคราะห์อนุกรมเวลาโดยใช้เทคนิคของบอกซ์-เจนกินส์
2024-02-29T16:38:35+07:00
Woraphan Jareankam
ajworaphan@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพยากรณ์ความต้องการใช้น้ำประปาในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ โดยใช้ข้อมูลปริมาณการใช้น้ำประปาในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 ถึงปีงบประมาณ 2566 จำนวน 132 ค่า โดยแบ่งข้อมูลออกเป็น 2 ชุด คือ ชุดที่ 1 ใช้สำหรับการวิเคราะห์เพื่อสร้างตัวแบบพยากรณ์ เป็นข้อมูลปริมาณการใช้น้ำประปาในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 ถึงปีงบประมาณ2565 จำนวน 120 ค่า และข้อมูลชุดที่ 2 เป็นข้อมูลปริมาณการใช้น้ำประปาในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ปีงบประมาณ 2566 จำนวน 12 ค่า ซึ่งเป็นข้อมูลที่ใช้สำหรับทดสอบประสิทธิภาพตัวแบบพยากรณ์ที่สร้างขึ้น โดยวิเคราะห์อนุกรมเวลาด้วยวิธีบอกซ์เจนกินส์ (Box-Jenkins) หาประสิทธิภาพความแม่นยำของตัวแบบการพยากรณ์โดยพิจารณา รากที่สองของความคลาดเคลื่อนเฉลี่ย (RMSE) ค่าเฉลี่ยร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์ (MAPE) และค่าเฉลี่ยความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ย (MAE) พบว่า ตัวแบบที่วิเคราะห์อนุกรมเวลาด้วยวิธีบอกซ์เจนกินส์ที่เหมาะสมที่สุด คือ ตัวแบบ ARIMA(10,1,5) โดยให้ค่า RMSE = 58,551.27, MAPE = 5.36 และ MAE = 51,437.16 ผลการพยากรณ์ปริมาณการใช้น้ำประปาในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ปีงบประมาณ 2567 รวมเท่ากับ 10,632,157.04 ลูกบาศก์เมตร</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 SCIENCE AND TECHNOLOGY NAKHON SAWAN RAJABHAT UNIVERSITY JOURNAL
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/JSTNSRU/article/view/253448
กระถางพืชอินทรีย์จากมะพร้าวน้ำหอมเหลือทิ้งและวัสดุรองพื้นคอกสุกร
2024-06-05T16:30:36+07:00
soydoa vinitnantharat
soydoa.vin@mail.kmutt.ac.th
<p>เปลือกมะพร้าวน้ำหอมและวัสดุรองพื้นสำหรับคอกสุกรเป็นของเสียที่เกิดขึ้นมากในจังหวัดราชบุรี ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงได้ศึกษาการใช้เปลือกมะพร้าวน้ำหอม วัสดุรองพื้นคอกสุกร โดยนำเปลือกมะพร้าวน้ำหอมผสมวัสดุรองพื้นคอกสุกรในอัตราส่วน 1:1 โดยน้ำหนัก ซึ่งใช้แป้งข้าวโพดเป็นตัวประสาน ศึกษาสมบัติทางกายภาพและเคมี และทดสอบการปลูกกะเพราเป็นเวลา 30 วัน ผลการศึกษาพบว่า เปลือกมะพร้าวและวัสดุรองพื้นคอกสุกร มีค่าคาร์บอนต่อไนโตรเจนเท่ากับ 74.42 และ 9.86 ตามลำดับ กระถางอินทรีย์สามารถปลดปล่อยแอมโมเนีย ไนเตรท ฟอสฟอรัส และแทนนินออกมาได้ เมื่อนำมาใช้ปลูกกะเพราเปรียบเทียบกับกระถางพลาสติก พบว่าการใช้วัสดุรองพื้นคอกสุกรเป็นกระถาง มีจำนวนต้นและความสูงเฉลี่ยสูงที่สุด ให้ผลที่ดีกว่าการใช้กระถางพลาสติก การใช้กระถางเปลือกมะพร้าวยังมีข้อจำกัด เนื่องจากมีการปลดปล่อยแทนนินออกจากกระถางและเกิดการสะสม ทำให้มีผลในทางลบต่อการเจริญของพืช กระถางอินทรีย์จากวัสดุรองพื้นคอกสุกรสามารถนำมาใช้เป็นกระถางพร้อมปลูกลงดิน ย่อยสลายได้ง่าย และมีธาตุอาหารที่เหมาะสมสำหรับการเจริญของพืช</p>
2024-10-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 SCIENCE AND TECHNOLOGY NAKHON SAWAN RAJABHAT UNIVERSITY JOURNAL
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/JSTNSRU/article/view/252525
ระบบแจ้งเตือนอัจฉริยะเพื่อป้องกันภัยสำหรับนักเรียนพลัดตกอาคารเรียน
2024-01-25T03:24:55+07:00
Natthaphon Wongmee
6340207115@nrru.ac.th
Wiyada Yawai
wiyada.y@nrru.ac.th
<p>ปัญหาการพลัดตกอาคารในช่วงเวลากลางคืนหรือในช่วงเวลาที่ไม่มีคนอยู่ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและไม่สามารถจะช่วยเหลือได้ทันท่วงที ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ ผู้วิจัยมีแนวคิดในการพัฒนาระบบแจ้งเตือนเพื่อป้องกันการพลัดตกอาคารในสถานศึกษาเพื่อช่วยป้องกันการเกิดเหตุร้าย โดยใช้การตรวจจับร่างกายผ่านกล้องไอพีโดยใช้มีเดียไปป์ จำแนกท่าทางโดยใช้ Long Short-Term Memory (LSTM) และแจ้งเตือนผ่านลำโพงบลูทูธเมื่อตรวจพบบุคคล และจับเวลาเพื่อแจ้งเตือนเป็นระยะๆ เพื่อให้พนักงานรักษาความปลอดภัยเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที ผลการทดสอบกับบุคคลจำนวน 10 คน พบว่าความแม่นยำของการแจ้งเตือนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 96.5 โดยสามารถระบุท่าทางของบุคคลในขณะนั้นได้ และมีความแม่นยำสูงเมื่อระยะการทดสอบไม่เกิน 1 เมตร</p>
2024-10-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 SCIENCE AND TECHNOLOGY NAKHON SAWAN RAJABHAT UNIVERSITY JOURNAL
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/JSTNSRU/article/view/253420
การสร้างเครื่องต้นแบบดูดจ่ายของเหลวอัตโนมัติสำหรับสารละลายเจือจางและอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเหลวที่บรรจุในหลอดทดลอง
2024-03-28T15:30:47+07:00
Penpak Komkaew
penpko@kku.ac.th
วิชาวุธ บุญญานุกูล
umster.9@gmail.com
<p>การเตรียมสารละลายเจือจางและอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเหลวมักพบปัญหาในขั้นตอนการเตรียมและการบรรจุลงในหลอดทดลอง โดยทั่วไปนิยมใช้กระบอกเข็มฉีดยาพลาสติกหรือเครื่องดูดจ่ายกึ่งอัตโนมัติ (dispenser) ซึ่งแต่ละครั้งมีการเตรียมในปริมาณมาก อุปกรณ์ที่ใช้เตรียมมีขนาดเล็ก ใช้เวลานาน ราคาค่อนข้างแพง มีอายุการใช้งาน 1-2 ปี และที่สำคัญปริมาตรที่ตวงได้ไม่สม่ำเสมออาจเกิดจากความเมื่อยล้าของผู้ปฏิบัติงาน ส่งผลให้เมื่อนำไปใช้งานทดสอบด้านจุลชีววิทยาเกิดความผิดพลาดและไม่ตรงตามที่ต้องการ คณะผู้วิจัยจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและสร้างเครื่องต้นแบบดูดจ่ายของเหลวอัตโนมัติสำหรับสารละลายเจือจางและอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเหลวที่บรรจุในหลอดทดลอง ปริมาตร 9.00 และ 10.00 มิลลิลิตร ขนาดหลอดทดลอง 16x160 มิลลิเมตร จำนวน 100 หลอด มีขั้นตอนดำเนินการวิจัยโดยการออกแบบเครื่อง ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ 1) ถังเก็บและปั๊มดูดจ่ายสารละลายเจือจางและอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเหลว 2) กลไกการเคลื่อนที่ไปจ่ายของเหลว และ 3) ชุดควบคุมการทำงานปั๊มและกลไกการเคลื่อนที่ หลักการทำงานใช้กลไกการขับเคลื่อนแบบเดียวกับเครื่องจักรอุตสาหกรรม ที่เรียกว่า เครื่อง CNC เป็นกลไกที่สามารถเคลื่อนที่ไปตามแนวแกน x, y และ z ได้ตามต้องการ ซึ่งกลไกดังกล่าวจะเคลื่อนที่ไปจ่ายของเหลวยังตำแหน่งที่กำหนด และมีปั้มแบบรีดท่อ (peristaltic pump) จ่ายของเหลวลงในหลอดทดลองตามปริมาตรที่กำหนด โดยใช้โปรแกรมคำสั่ง G code ควบคุมเครื่องผ่านทาง software ที่ชื่อว่า MACH 3 ออกแบบการทำงาน 2 โปรแกรม คือ (1) แบบ 9.00 มิลลิลิตร 100 หลอด และ (2) แบบ 10.00 มิลลิลิตร 100 หลอด จากการศึกษาพบว่า การควบคุมปริมาตรการจ่ายของเหลวใช้ค่า pulse with modulation (PMW) ปรับจาก speed controller และค่า time ปรับด้วยโปรแกรม G code พบว่าปริมาตร 9.00 มิลลิลิตร ใช้ค่า PMW 72% time 1.4 sec และปริมาตร 10.00 มิลลิลิตร ใช้ค่า PMW 83% time 1.4 sec ผลการทดสอบความถูกต้องแม่นยำ ปริมาตร 9.00 และ 10.00 มิลลิลิตร มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.89±0.7 และ 9.99±0.7 มิลลิลิตร ตามลำดับ ผลการทดสอบมีความแม่นยำสูงแสดงได้ด้วยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสัมพัทธ์ (%RSD) ที่ n=10 มีค่า %RSD เท่ากับ 0.76 และ 0.70 ตามลำดับ จากการเปรียบเทียบด้วย t-Test พบว่าค่าเฉลี่ยที่ปริมาตร 9.00 และ 10.00 มิลลิลิตร ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับความเชื่อมั่น 95% เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์การยอมรับในการเตรียมสารละลายเจือจางและอาหารเลี้ยงเชื้อ ที่ปริมาตร 9.00±0.2 มิลลิลิตร และปริมาตร 10.00±0.1 มิลลิลิตร อยู่ในเกณฑ์การยอมรับ สรุปได้ว่าเครื่องดูดจ่ายของเหลวอัตโนมัติ (automatic dispensing machine, ADM) ใช้เตรียมสารละลายเจือจางและอาหารเลี้ยงเชื้อที่บรรจุในหลอดทดลองได้เป็นอย่างดี มีความถูกต้องแม่นยำ น่าเชื่อถือ ช่วยอำนวยความสะดวก ลดระยะเวลาในการทำงาน ประหยัดงบประมาณ โดยไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์บ่อยครั้งและมีราคาแพงจากต่างประเทศ ลดค่าใช้จ่ายให้กับห้องปฏิบัติการ สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานด้านอื่น ๆ ได้อีกด้วย</p>
2024-11-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 SCIENCE AND TECHNOLOGY NAKHON SAWAN RAJABHAT UNIVERSITY JOURNAL
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/JSTNSRU/article/view/254384
สารสกัดจากใบกระถินที่ถูกตรึงบนกระดาษสำหรับเป็นชุดทดสอบปริมาณไอออนเหล็กในตัวอย่างยาเสริมธาตุเหล็ก
2024-06-04T14:22:20+07:00
Napaporn Wannaprom
napaporn.wan@crru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้ได้ศึกษาหาปริมาณไอออนเหล็กในตัวอย่างยาเสริมธาตุเหล็กด้วยเทคนิคแลป-ออน-เปเปอร์ โดยใช้สารสกัดจากใบกระถินเป็นรีเอเจนต์ ร่วมกับการตรวจวัดค่าสี RGB ด้วยโทรศัพท์มือถือ การเกิดปฏิกิริยาระหว่างสารมิโมซีนในใบกระถินกับไอออนเหล็กจะได้สารประกอบเชิงซ้อนสีส้มอิฐ ให้สเปกตราการดูดกลืนแสงสูงสุดที่ <br />460 nm โดยได้ศึกษาตัวแปรต่าง ๆ เพื่อให้ได้สภาวะที่เหมาะสมพบค่าที่เหมาะสม คือ ความเข้มข้นของสารสกัดใบกระถินที่ 2.5 %w/v เวลาในการสกัด 20 นาที pH ในการเกิดปฏิกิริยา 4.5 ปริมาตรสารละลายตัวอย่างที่หยดบนกระดาษเท่ากับ 15 ไมโครลิตร เวลาในการทำปฏิกิริยา 7.5 นาที และใช้แสงสีน้ำเงิน (B) ในการติดตามสัญญาณ ซึ่งภายใต้สภาวะการทดลองที่เหมาะสม พบช่วงการใช้งานที่เป็นเส้นตรงของสารละลายมาตรฐานเหล็กอยู่ในช่วง 1.00–10.00 ppm (y = 0.9626x – 2.1379, R<sup>2</sup> = 0.9959) ค่า LOD และ LOQ เท่ากับ 0.09 และ 3.68 ppm ตามลำดับ และค่าความแม่นยำในการวิเคราะห์ของเทคนิคที่พัฒนาขึ้นที่ความเข้มข้นของสารละลายมาตรฐานเหล็ก 1.00, 5.00 และ 10.00 ppm (n = 8) พบว่า %RSD เท่ากับ 3.00 2.84 และ 2.38 ตามลำดับ ร้อยละการได้คืนกลับ 87–93% จากการวิเคราะห์ไอออนเหล็กในตัวอย่างยาพบว่า เมื่อเปรียบเทียบค่าการวิเคราะห์ทางสถิติแบบ t-Test ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ของวิธีที่พัฒนาขึ้นกับวิธีมาตรฐานของยาแต่ละชนิด พบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยนี้ถือได้ว่าเป็นเครื่องมืออย่างง่าย มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและราคาประหยัด</p>
2024-11-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 SCIENCE AND TECHNOLOGY NAKHON SAWAN RAJABHAT UNIVERSITY JOURNAL