https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/issue/feed
วารสารวิชาการและวิจัย มทร.พระนคร สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2025-06-29T11:28:40+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ว่าที่เรือตรี ดร.ทรงวุฒิ มงคลเลิศมณี
songwut.m@rmutp.ac.th
Open Journal Systems
<p style="text-align: left;"> <br /><strong> วารสารวิชาการและวิจัย มทร.พระนคร สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดผลงานวิจัยและผลงานวิชาการทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index Centre, TCI Centre)</p> <p><strong> ภาษา </strong><strong>:</strong> ไทย หรือ อังกฤษ</p> <p><strong> เลขมาตรฐานสากล (</strong><strong>E-ISSN) :</strong> 3027-8260 (online)</p> <p><strong> เริ่มต้น </strong><strong>: </strong>2552</p> <p><strong> ค่าธรรมเนียมตีพิมพ์</strong><strong> :</strong> ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์</p> <p><strong> กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ </strong><strong>:</strong> ปีละ 2 ฉบับ<br /><strong> </strong>ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong> </strong><strong>กรอบของวารสาร</strong> วารสารรับพิจารณา <strong>บทความวิจัย</strong> และ <strong>บทความวิขาการ</strong> ใน 3 สาขาที่เกี่ยวข้องดังนี้</p> <ul> <li>วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี</li> <li>วิทยาศาสตร์ประยุกต์</li> <li>วิศวกรรมศาสตร์</li> </ul> <p><strong> กระบวนการประเมินบทความ </strong><strong>:<br /></strong><strong> </strong>บทความทั้งหมดต้องผ่านกระบวนการประเมินแบบผู้ทรงคุณวุฒิไม่เปิดเผยชื่อทั้งสองฝ่าย การประเมินใช้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ที่มีสังกัดแตกต่างกันทั้งหมด และไม่สังกัดเดียวกันกับผู้เขียน</p> <p style="text-align: left;"> <strong>ขั้นตอนการส่งบทความ </strong><strong>: </strong>ท่านสามารถดูขั้นตอนการส่งบทความได้ที่นี่ <a href="https://drive.google.com/file/d/1cStpJqQFxVjjAKpGDU9uUH6HZ8E4eABq/view?usp=sharing">https://drive.google.com/file/d/1cStpJqQFxVjjAKpGDU9uUH6HZ8E4eABq/view?usp=sharing</a></p>
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/249913
สมบัติของภาชนะชีวภาพเคลือบพอลิแลกติกแอซิด (PLA) ผสมพอลิบิวทิลีนซัคซิเนต (PBS)
2023-07-04T12:48:57+07:00
มนตรี ขาวสุข
montri.k@itm.kmutnb.ac.th
ปรียานุช แย้มจินดา
preeyanut.y@itm.kmutnb.ac.th
ธณัฏฐ์ยศ สมใจ
Thanutyot.s@itm.kmutnb.ac.th
<p>ภาชนะชีวภาพเคลือบพอลิแลกติกแอซิด(PLA) ผสมพอลิบิวทิลีนซัคซิเนต(PBS) เริ่มจากการเตรียมเส้นใยเปลือกข้าวโพดผสมเส้นใยเปลือกหน่อไม้ ด้วยกระบวนการโซดาทำการปั่น โดยผสมเส้นใยเปลือกหน่อไม้ต่อเปลือกข้าวโพดในอัตราส่วน 20:80 ตามลำดับ และขึ้นรูปกระดาษทำมือ ทำการเคลือบด้วยฟิล์ม PLA ผสม PBS ด้วยการอัดรีดร้อน จากการวิเคราะห์ตรวจสอบสมบัติทางกายภาพของกระดาษที่ไม่เคลือบและเคลือบพื้นผิวด้วย PLA ผสม PBS พบว่า กระดาษที่ผ่านการเคลือบมีความหยาบผิวลดลง ผิวมีความเป็นมันเงา ในส่วนของการวิเคราะห์ทดสอบสมบัติทางกล พบว่า ความต้านแรงดึง และร้อยละการยืดของชิ้นทดสอบที่จุดขาด และความต้านแรงดึงเปียกมีค่ามากกว่าเมื่อเทียบกับกระดาษที่ไม่เคลือบ เมื่อทำการอัดขึ้นรูปภาชนะเพื่อการทดสอบการรั่วซึมและความคงรูปของภาชนะ ผลการทดสอบภาชนะที่ผลิตจากเส้นใยเปลือกข้าวโพดผสมเส้นใยเปลือกหน่อไม้เคลือบ PLA ผสม PBS ไม่เกิดการรั่วซึมและความคงรูปของภาชนะได้ทุกเงื่อนไข ผลการทดสอบทั้งหมดระบุว่ากระดาษทำมือเคลือบ PLA ผสม PBS สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการผลิตภาชนะได้ดี</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/246683
ผลของสารไดบิวทิลทินและโมโนบิวทิลทินต่อการเจริญเติบโต การตายและการพัฒนาอวัยวะเพศผู้ของหอยหวาน (Babylonia areolata) เพศเมีย
2023-01-16T09:22:08+07:00
สุบัณฑิต นิ่มรัตน์
subunti@buu.ac.th
กณิกนันต์ ศรีสวัสดิ์
ppornsupikult@gmail.com
ไตรมาศ บุญไทย
boonthait@gmail.com
วีรพงศ์ วุฒิพันธุ์ชัย
verapong@buu.ac.th
<p>สารประกอบบิวทิลทิน ได้แก่ สารไตรบิวทิลทิน ไดบิวทิลทินและโมโนบิวทิลทิน เป็นสารที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบต่อมไร้ท่อและระบบสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาอวัยวะเพศผู้ของหอยฝาเดียวเพศเมีย เนื่องด้วยความเป็นพิษสูงและไม่จำเพาะเจาะจงในสิ่งมีชีวิตต่างๆ จึงได้มีประกาศห้ามใช้สีที่มีส่วนผสมของสารไตรบิวทิลทินทาอยู่บนตัวเรือทั่วโลกตั้งแต่ พ.ศ. 2551 แต่สารประกอบนี้ยังถูกใช้ในอุตสาหกรรมและภาคการเกษตรและปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมทางทะเล การศึกษาในครั้งนี้จึงเป็นการประเมินผลของสารไดบิวทิลทินและโมโนบิวทิลทินต่อการเจริญเติบโต การตายและการพัฒนาอวัยวะเพศผู้ของหอยหวาน (<em>Babylonia areolata</em>) เพศเมีย โดยพบว่าสารไดบิวทิลทินและโมโนบิวทิลทิน 5 และ 10 ไมโครกรัมต่อลิตร สามารถสะสมและเกิดการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อหอยหวานโดยไม่มีผลต่อความยาวเปลือกของหอยหวาน แต่มีผลทำให้น้ำหนักลดลงและอัตราการตายเพิ่มขึ้น (<em>p </em>< 0.05) นอกจากนี้สารไดบิวทิลทินและโมโนบิวทิลทินยังเหนี่ยวนำให้เกิดการพัฒนาอวัยวะเพศผู้ในหอยหวานเพศเมียได้ร้อยละ 10.00-13.33 และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาของ Pseudopenis ได้ถึงระดับ 1-2 ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าสารไดบิวทิลทินและโมโนบิวทิลทินมีผลต่อการเจริญเติบโต อัตราการตายและการพัฒนาของอวัยวะเพศผู้ในหอยหวาน ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐจึงควรมีมาตรการและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการปนเปื้อนสารประกอบบิวทิลทินในสิ่งแวดล้อมทางทะเลและป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผลผลิตในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงหอยในอนาคต</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/249498
การอัพไซเคิลขยะแผ่นฟิล์มจากโรงงานเป็นอิเล็กโตรเคมิคัลเซ็นเซอร์วัดความชื้น
2025-06-28T20:57:10+07:00
กาญจนา ลือพงษ์
kanchana.l@mail.rmutk.ac.th
เลิศลักษณ์ แก้ววิมล
Lerdluck.k@mail.rmutp.ac.th
เสาวณีย์ อารีจงเจริญ
saowanee.a@rmutp.ac.th
<p>การอัพไซเคิลแผ่นฟิล์มพลาสติกที่ใช้แล้วจากโรงงานให้กลายเป็นอิเล็กโตรเคมิคัลเซ็นเซอร์วัดความชื้นมีจุดประสงค์หลักในการนำขยะพลาสติกจากอุตสาหกรรมกลับมาใช้ได้ใหม่โดยการเพิ่มมูลค่าและลดปริมาณขยะพลาสติก โดยพัฒนาเป็นอิเล็กโตรเคมิคัลเซนเซอร์ที่มีความสามารถในการตรวจจับความชื้น โดยเริ่มจากการตรวจสอบลักษณะทางกายภาพและเคมีของแผ่นฟิล์ม จากนั้นนำแผ่นฟิล์มไปเคลือบด้วยกราฟีนออกไซด์ที่ความเข้มข้น 0.5, 1.0, 1.5 และ 2.0 ร้อยละ น้ำหนักต่อปริมาตร และศึกษาสมบัติของอิเล็กโตรเคมิคัลเซนเซอร์ทั้งในด้านการตอบสนองทางไฟฟ้าโดยวิธีไซคลิกโวลแทมเมทรี สัณฐานวิทยา พื้นที่ผิวจำเพาะในการเกิดปฏิกิริยาของกราฟีนออกไซด์เซนเซอร์ และหาความสัมพันธ์ของความจุไฟฟ้าด้วยเครื่องวัดแอลซีอาร์สำหรับการตรวจจับความชื้นสัมพัทธ์ ผลการศึกษาพบว่าแผ่นฟิล์มพลาสติกจากโรงงานเป็นซิลิโคนประเภทพอลิไดเมทิลไซลอกเซนมีความหนา 0.105 มิลลิเมตร มีความยืดหยุ่น สามารถปรับแต่งพื้นผิวได้ สามารถสกรีนเลเซอร์ และเคลือบกราฟีนออกไซด์ ที่ความเข้มข้น 1.0 ร้อยละน้ำหนักต่อปริมาตร เซนเซอร์ที่ได้มีสมบัติด้านการนำไฟฟ้า และสามารถพัฒนาเป็นเซนเซอร์ในการวัดชื้นจากบรรยากาศได้ โดยมีความสัมพันธ์ระหว่างค่าความชื้นสัมพัทธ์ (x) และความจุไฟฟ้า (y) ตามสมการพหุนามกำลังสองคือ y = 0.0013x^2 + 2.7902x – 51.17 ที่ค่า R<sup>2</sup> = 0.971 อนุภาคกราฟีนออกไซด์ที่เคลือบบนแผ่นฟิล์มจะมีรูปทรงเป็นหกเหลี่ยมซ้อนชิดติดกัน และมีพื้นที่ผิวจำพาะ 74.6269 ตารางมิลลิเมตรต่อกรัม</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/250664
พฤกษเคมีและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของตำรับยาแผนไทย: อัคคินีวคณะ
2023-10-30T13:48:16+07:00
ชวลิต โยงรัมย์
chawalit.yo@ssru.ac.th
ภาณุพันธ์ ศรีพันธุ์
panupan.sr@ssru.ac.th
สุวดี โชคชัยสิริ
suwadee.ch@ssru.ac.th
รัมภ์รดา มีบุญญา
rumrada.me@ssru.ac.th
อรวรรณ วงษ์อนันต์
orawan.wo@ssru.ac.th
พิมลวรรณ ศิริปรุ
pimolwan.s@kkumail.com
สุธิดา ดาถ่ำ
nunar120739@gmail.com
จุฑามาศ รถา
juthra@kku.ac.th
เพลินทิพย์ ภูทองกิ่ง
pploenthip@kku.ac.th
ปัญญดา ปัญญาทิพย์
panyada@g.swu.ac.th
<p>ตำรับยาอัคคินีวคณะเป็นตำรับยาแผนไทยที่มีส่วนผสมของกัญชาเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นตำรับยาในกลุ่มยาอายุวัฒนะที่มีมาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมีสรรพคุณช่วยเจริญอาหาร บำรุงกำลัง แก้คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งสรรพคุณดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับชนิดและปริมาณสารพฤกษเคมีที่เป็นองค์ประกอบ แต่จนถึงปัจจุบันยังขาดข้อมูลด้านพฤกษเคมีของตำรับอัคคินีวคณะ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงได้ทำการวิเคราะห์ชนิดและปริมาณสารพฤกษเคมีของตำรับอัคคินีวคณะด้วยเทคนิค HPLC ตลอดจนการศึกษาความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ จากการศึกษาพบว่าสารสกัดเอทานอลตำรับยาอัคคินีวคณะมีค่า IC<sub>50</sub> เท่ากับ 56.30±0.29 และ 23.39±0.44 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ด้วยวิธี DPPH และ ABTS ตามลำดับ และมีค่า FRAP เท่ากับ 448.01±5.72 มิลลิโมลต่อ 100 กรัมสารสกัด แต่ยังคงมีฤทธิ์น้อยกว่า Trolox (2506.15±13.60 มิลลิโมลต่อ 100 กรัมสารสกัด) และพบว่ามีปริมาณแคนนาบินอยด์สัมพัทธ์สูง (8130.00±35.59 ไมโครกรัมต่อกรัมสารสกัด) โดยมี d9-THC สูงที่สุด อีกทั้งพบว่ามีปริมาณฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์สัมพัทธ์เท่ากับ 1804.14±4.86 ไมโครกรัมต่อกรัมสารสกัด นอกจากนี้ในการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พบว่าปริมาณฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์รวม ปริมาณแคนนาบินอยด์ที่มีความสัมพันธ์กันกับฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ รวมไปถึง Gallic Acid และ <em>p</em>-Hydroxybenzoic Acid ที่มีความสัมพันธ์กับฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างมีนัยสำคัญ จากผลการทดลองนี้จะเห็นได้ว่าตำรับยาอัคคินีวคณะมีศักยภาพเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ โดยสามารถใช้เป็นข้อมูลที่สนับสนุนการใช้ตำรับยาแผนไทยไปพัฒนาสู่เภสัชภัณฑ์ได้</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/250484
การสกัดเพคตินจากเปลือกแคนตาลูปเหลือทิ้งและมาใช้ประโยชน์ในการผลิตเป็นสารเคลือบบริโภคได้เพื่อรักษาคุณภาพการสุกของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองระหว่างการเก็บรักษา
2023-10-25T15:42:06+07:00
นาฏกาญจน์ จักรานุวัฒน์
nattakan.c@agro.kmutnb.ac.th
อรสา สีดาจิตร
orasaseedajit25@gmail.com
อังคณา ทักษิณากร
angkana.taksi@gmail.com
ศุภกร หวังศิริกำโชค
spk.wsk@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดเพคตินจากเปลือกแคนตาลูปเหลือทิ้งแล้วนำมาพัฒนาเป็นสารเคลือบบริโภคได้เพื่อรักษาคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองสุก เริ่มจากศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดเพคตินโดยวางแผนการทดลองแบบ 3x3 แฟคทอเรียล มีปัจจัย 2 ได้แก่ระดับ pH ของกรดซิตริก (1, 2 และ 3) และอัตราส่วนผงเปลือกต่อปริมาณกรดซิตริก (1:10, 1:30 และ 1:50 โดยน้ำหนัก) ผลการทดลองพบว่าการใช้อัตราส่วนเท่ากับ 1:50 (โดยน้ำหนัก) ของผงเปลือกแคนตาลูปต่อปริมาณกรดซิตริก ที่ pH เท่ากับ 1 ได้ร้อยละของผลผลิตเพคตินสูงที่สุด (ร้อยละ 33.58±0.34) และเป็นเพคตินชนิดเมทอกซิลต่ำ (%DE น้อยกว่าร้อยละ 50) โดยมีความบริสุทธิ์อยู่ภายใต้มาตรฐานที่ใช้สำหรับผลิตเพคตินทางการค้า จากนั้นนำเพคตินที่สกัดได้ผลผลิตมากที่สุดมาแปรความเข้มข้นเป็นร้อยละ 10, 15 และ 20 โดยน้ำหนัก เติมกลีเซอรอลร้อยละ 1 โดยน้ำหนัก และแคลเซียมคลอไรด์ 0.04 กรัม พัฒนาเป็นสารเคลือบบริโภคได้สำหรับรักษาคุณภาพการสุกของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองระหว่างการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 13±2 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 18 วัน ผลการทดลองพบว่ามะม่วงที่เคลือบด้วยเพคตินที่ความเข้มข้นร้อยละ 10 มีการสูญเสียน้ำหนักและปริมาณของแข็งที่ละลายได้น้อยที่สุด ในขณะความแน่นเนื้อมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสภาวะอื่น ๆ งานวิจัยนี้เป็นการเน้นย้ำการเพิ่มมูลค่าของเสียจากเปลือกแคนตาลูปและเป็นแนวทางการการรักษาคุณภาพของมะม่วงหลังการเก็บเกี่ยวอย่างยั่งยืน</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/247858
นวัตกรรมสีย้อมจากกากผักผลไม้สกัดเย็นเหลือทิ้งช่วยลดมลพิษสิ่งแวดล้อม กรณีศึกษาร้าน Healthy Juice Bar ในเขตกรุงเทพมหานคร
2023-09-26T10:34:23+07:00
ประพาฬภรณ์ ธีรมงคล
praparnporn.t@rmutp.ac.th
พัดชา อุทิศวรรณกุล
patcha.paris@gmail.com
<p>กระแสรักสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สินค้าหรืออาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพโดยเฉพาะเครื่องดื่มน้ำผักผลไม้ ซึ่งประโยชน์ของผักผลไม้ช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการบริโภคผักผลไม้ได้ทุกชนิดและรับสารอาหารได้เต็มที่ แต่ในกระบวนการผลิตนั้นสร้างปัญหา “ขยะ” กากผักผลไม้เหลือทิ้ง ด้วยปัญหาดังกล่าว การช่วยลดมลพิษสิ่งแวดล้อมจากแนวคิดการนำกลับมาใช้ใหม่ (3R= reduce, reuse, recycle) เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมสีย้อมจากผักผลไม้สกัดเย็นเหลือทิ้งสำหรับงานสิ่งทอและงานสร้างสรรค์ ดังนี้ 1) ศึกษาลักษณะและกระบวนการเก็บและคัดแยกของกากผักผลไม้สกัดเย็นเหลือทิ้งจากร้าน Healthy Juice Bar ในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อหาแนวทางการสร้างนวัตกรรมสีย้อมจากกากผักผลไม้สกัดเย็นเหลือทิ้งด้วยแนวคิดการนำกลับมาใช้ใหม่ (3R) จนขยะเหลือเป็นศูนย์ (Zero Waste) สรุปผลการวิจัยได้ว่า ปริมาณกากจากการผลิตน้ำผักผลไม้สกัดเย็นร้าน Healthy Juice Bar ในเขตกรุงเทพมหานคร ถูกทิ้งต่อวันเฉลี่ย 10 – 50 กิโลกรัม เมื่อนำมาสกัดน้ำย้อมด้วยเครื่องคั้นน้ำระบบกึ่งอุตสาหกรรม ทดลอง 5 ซ้ำ การวิเคราะห์ค่าสีพบว่าเส้นด้ายย้อมร้อนส่วนใหญ่จะได้ค่าความสว่างและค่าความเป็นสีเหลือง และย้อมเย็นจะมีค่าความมืดและค่าความเป็นสีน้ำเงิน ส่วนสีผงนำไปผลิตสีพิมพ์โดยใช้แป้งพิมพ์ผสมสารช่วยยึดติด ผนึกสีด้วยความร้อนเพื่อให้สีติดทน ทำให้ร้าน Healthy juice bar ในเขตกรุงเทพมหานคร มีแนวทางเพิ่มมูลค่าขยะที่เหลือทิ้ง จำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสร้างอัตลักษณ์ให้กับผลิตภัณฑ์ นำไปสู่อุตสาหกรรมแฟชั่นได้อย่างยั่งยืน</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/250249
ผลของการทดแทนน้ำตาลซูโครสด้วยน้ำตาลอิริทริทอลต่อการยอมรับและคุณภาพทางประสาทสัมผัสของดาร์กช็อคโกแลตผสมสารสกัดรากโสมอินเดียในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ
2023-11-21T16:47:18+07:00
สิริชาญ รัตนโชติช่วง
siricharn311.38@gmail.com
ชุติกาญจน์ วิริยะเสริมสุข
Chutikan.vir@gmail.com
ศรัญญา ฉวีสุข
prmsrnya@gmail.com
จิระเดช บุตรโม
jiradej.b2001@gmail.com
มณีรัตน์ เตชะวิเชียร
maneejum@gmail.com
ญาณิศา ทับเจริญ
tangkwar2512@gmail.com
ฉัตรภา หัตถโกศล
chatrapa@yahoo.com
<p>การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อร่างกายทำให้อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย ง่วงนอนในตอนกลางวัน ร่างกายขาดพลังงาน และประสิทธิภาพในการทำงานลดลงซึ่งโสมอินเดียเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยลดความเครียด และสามารถเพิ่มคุณภาพการนอนหลับร่วมกับผลิตภัณฑ์ดาร์กช็อคโกแลตที่สามารถฟื้นฟูระบบหัวใจและหลอดเลือดหลังจากการอดนอนได้ อีกทั้งประโยชน์ของน้ำตาลอิริทริทอลที่ช่วยยับยั้งการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดและสามารถป้องกันฟันผุ ได้ ดังนั้นวัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อทดสอบการยอมรับทางประสาทสัมผัสของผู้ใหญ่ที่มีปัญหาการนอนไม่หลับต่อสูตรน้ำตาลอิริทริทอลที่ต่างกันของผลิตภัณฑ์ดาร์กช็อคโกแลตที่พัฒนา โดยผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวน 30 คน (เพศชายร้อยละ 30 และเพศหญิงร้อยละ 70, อายุ 20-59 ปี) จะได้บริโภคผลิตภัณฑ์ดาร์กช็อคโกแลต 4 สูตรได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดาร์กช็อคโกแลตสูตรปกติ (สูตร 1) และ ผลิตภัณฑ์ดาร์กช็อคโกแลตที่พัฒนาสูตรผสมสารสกัดรากโสมอินเดีย 300 มิลลิกรัมผสมน้ำตาลอิริทริทอล ร้อยละ 20 (สูตร 2) ร้อยละ 30 (สูตร 3) และ ร้อยละ 40 (สูตร 4) พร้อมทำแบบทดสอบคุณลักษณะทางประสาทสัมผัส ซึ่งพบว่าผลิตภัณฑ์ดาร์กช็อคโกแลตที่พัฒนาทุกสูตรได้รับการยอมรับทางประสาทสัมผัสด้านความชอบโดยรวมอยู่ในระดับความชอบมาก โดยผลิตภัณฑ์ดาร์กช็อคโกแลต สูตร 2 ได้รับคะแนนของด้านสี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวมมากที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดาร์กช็อคโกแลตที่พัฒนา ดังนั้น สูตร 2 จึงเป็นสูตรที่สามารถนำไปพัฒนาเพื่อจำหน่ายหรือทำการศึกษาเชิงคลินิกต่อไปได้ อย่างไรก็ตามในการเติมน้ำตาลอิริทริทอลในปริมาณที่เพิ่มขึ้นสามารถส่งผลต่อเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ไม่ดีได้</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/249899
Depletion of Total Solar Ultraviolet (TUV) Radiation (260–400 nm) and Erythemal Weighted Solar Ultraviolet (EUV) Radiation by Aerosols Under Clear Sky Conditions: A Case Study from Data Collected at Nakhon Pathom Station in Thailand
2023-10-30T13:47:18+07:00
Wijittra Kangwanwit
wijittra.xxx@gmail.com
Sumaman Buntoung
buntoung_s@silpakorn.edu
Serm Janjai
serm.janjai@gmail.com
<p>In this work, the depletion of total solar ultraviolet (TUV) radiation and erythemal weighted solar ultraviolet (EUV) radiation by aerosol in clear sky conditions was investigated based on the data collected at Nakhon Pathom station (13.82°N, 100.04°E) in Thailand. Solar spectral ultraviolet radiation was measured by a spectroradiometer (Bentham Instruments Ltd., model DMc150), in addition to aerosol optical depth (AOD) at 340 nm measured by an AERONET sunphotometer (Cimel Electronique, model CE-318). The total ozone column (O<sub>3</sub>) retrieved from OMI/AURA satellite data was also used. The data period used in this work were from January 2017–December 2018 at Nakhon Pathom station. The EUV was obtained from the solar spectrum and erythemal weighted action spectrum. A special technique was employed, using UV data calculated from the UVSPEC, a radiative transfer model, to extract the variation of TUV and EUV only as a function of AOD. Equations relating TUV to AOD and EUV to AOD were established. TUV and EUV were found to decrease linearly with the increase of the AOD.</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/252799
การออกแบบ สร้าง และประเมินสมรรถนะเครื่องย่อยกิ่งไม้ที่ใช้จานตัด 2 ใบมีด 3 ใบมีด และ 4 ใบมีด
2024-03-13T10:56:16+07:00
ประเสริฐ วิโรจน์ชีวัน
prasert.w@rmutp.ac.th
ณทพร จินดาประเสริฐ
nataporn.c@rmutp.ac.th
ฐณพล เวียงทอง
thanaphon.w@rmutp.ac.th
ปฎิภาณ ถิ่นพระบาท
padipan.t@rmutp.ac.th
<p>งานวิจัยฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อออกแบบ สร้าง และประเมินสมรรถนะเครื่องย่อยกิ่งไม้ขนาดเล็กที่มีความสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย ทำการศึกษาผลของจำนวนใบมีดที่มีต่อความสามารถในการย่อยกิ่งไม้ ทดสอบกับการย่อยกิ่งไม้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 70 มิลลิเมตร โดยใช้กิ่งไม้สดและกิ่งไม้แห้งปริมาณ 15 กิโลกรัม ต่อการทดสอบ และใช้ชุด จานตัด 2 ใบมีด 3 ใบมีด และ 4 ใบมีด คมของใบมีดตัด 45 องศา ความยาวของใบมีด 105 มิลลิเมตร ทำการทดสอบที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ 3,400 รอบต่อนาที ผลการทดสอบพบว่า เครื่องย่อยกิ่งไม้สามารถย่อยกิ่งไม้สดได้เร็วกว่ากิ่งไม้แห้งและการเพิ่มจำนวนใบมีดตัดทำให้อัตราการย่อยกิ่งไม้ลดลง โดยอัตราการย่อยกิ่งไม้สดและกิ่งไม้แห้งของจานตัด 2 ใบมีด อยู่ที่ 274.3 และ 221.4 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ตามลำดับ จานตัด 3 ใบมีด สามารถย่อยกิ่งไม้สดและกิ่งไม้แห้งได้ในอัตราการย่อยที่ 250 และ 216.3 กิโลกรัมต่อชั่วโมง และในส่วนของจานตัด 4 ใบมีด สามารถย่อยกิ่งไม้สดและกิ่งไม้แห้งได้ในอัตราการย่อยที่ 221.7 และ 178.6 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ตามลำดับ แต่การเพิ่มจำนวนใบมีดส่งผลให้เศษไม้หลังผ่านการย่อยมีขนาดเล็กและละเอียดมากกว่า ขนาดสูงสุดของเศษไม้หลังผ่านการย่อยอยู่ที่ 15x25, 10x15 และ 7x10 มิลลิเมตร สำหรับจานตัด2 ใบมีด 3 ใบมีด และ 4 ใบมีด ตามลำดับ และพบว่าอัตราการย่อยกิ่งไม้ของเครื่องย่อยกิ่งไม้ที่ใช้จานตัด 4 ใบมีด มีค่าน้อยกว่าเครื่องย่อยกิ่งไม้ที่ใช้จานตัด 2 ใบมีด</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/252436
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ยับยั้งแอลฟา-อะไมเลส และแอลฟา-กลูโคซิเดสของสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบหนานเฉาเหว่ย
2024-03-22T14:17:26+07:00
ณพัฐอร บัวฉุน
napattaorn@vru.ac.th
<p>จากภูมิปัญญาท้องถิ่นพบว่าสมุนไพรหนานเฉาเหว่ยเป็นพืชสมุนไพรที่มีการนำมาใช้ประโยชน์ทางยา เช่น ช่วยลดน้ำตาลในเลือด และลดความดัน งานวิจัยนี้ศึกษาปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด ปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ในการยับยั้งแอลฟา-อะไมเลส และแอลฟา-กลูโคซิเดสของสารสกัดใบหนานเฉาเหว่ย ผลการศึกษา เมื่อทำการสกัดใบหนานเฉาเหว่ยด้วยวิธีการแช่หมัก (Maceration) โดยใช้ 95% เอทานอลเป็นตัวทำละลาย จะได้ร้อยละสารสกัดเท่ากับ 11.59 และพบว่า สารสกัดมีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด 59.03±0.67 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัด ปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด 22.98±0.21 มิลลิกรัมสมมูลของเคอร์ซิตินต่อกรัมสารสกัด และจากการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย DPPH free radical scavenging พบว่า สารสกัดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยมีค่า IC<sub>50 </sub>เท่ากับ 9.37 ± 1.31 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร และมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส และ เอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส ได้ดี โดยมีค่า IC<sub>50</sub> เท่ากับ 10.39 ± 1.08 และ 11.08 ± 0.76 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ เมื่อเทียบกับสารละลายมาตรฐานอะคาร์โบสที่ยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส และ เอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส โดยมีค่า IC<sub>50</sub> เท่ากับ 14.08 ± 0.21 และ 12.47 ± 0.46 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดใบหนานเฉาเหว่ยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ในการยับยั้งแอลฟา-อะไมเลส และแอลฟา-กลูโคซิเดส อยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับสารละลายมาตรฐาน ดังนั้นควรมีการศึกษาฤทธิ์และองค์ประกอบทางเคมีให้กว้างขวาง เพื่อนําไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในการรักษาโรคที่สัมพันธ์กับอนุมูลอิสระ รวมทั้งโรคเบาหวาน</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/251929
การพัฒนาวิธีสำหรับการวิเคราะห์ปริมาณเหล็กด้วยสารสกัดใบบัวหลวงและเทคนิคอัลตราไวโอเลตวิสิเบิลสเปกโทรสโกปี
2024-07-10T13:35:33+07:00
อุษารัตน์ คำทับทิม
usarat.k@mail.rmutk.ac.th
เกษมณี พลูคล้าย
615020300146@mail.rmutk.ac.th
นภาพร รัศมีเฟื่องฟู
615020300179@mail.rmutk.ac.th
รัฐพล หงส์เกรียงไกร
rattapon.h@mail.rmutk.ac.th
<p>งานวิจัยนี้เป็นการพัฒนาวิธีสำหรับการวิเคราะห์ปริมาณเหล็กด้วยสารสกัดใบบัวหลวงและเทคนิคอัลตราไวโอเลตวิสิเบิลสเปกโทรสโกปี โดยสารสกัดใบบัวหลวงเตรียมด้วยวิธีการสกัดด้วยตัวทำละลาย เมื่อวิเคราะห์โครงสร้างทางเคมีของสารสกัดใบบัวหลวงด้วยเครื่องฟูเรียร์ทรานฟอร์มอินฟราเรดสเปกโตรมิเตอร์พบว่าหมู่ฟังก์ชันทางเคมีของสารสกัดใบบัวหลวงมีความสอดคล้องกับสารมาตรฐานกรดแทนนิค จากการทดลองพบว่าสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์ปริมาณเหล็กด้วยวิธีที่พัฒนาขึ้นได้แก่ การใช้ตัวทำละลายคือสารละลายอะซิเตทบัฟเฟอร์ที่มีค่าพีเอชเท่ากับ 4.8 ความเข้มข้นของกรดแทนนิคในสารสกัดใบบัวหลวง 5.6 มิลลิกรัมต่อลิตร เวลาที่ใช้ในการทำปฏิกิริยา 10 นาที ตรวจวัดที่ความยาวคลื่น 570 นาโนเมตร วิธีที่ได้พัฒนาขึ้นมีช่วงความเป็นเส้นตรง 1-10 มิลลิกรัมต่อลิตร สมการความเป็นเส้นตรงคือ y = 0.0326x + 0.289 ขีดจำกัดต่ำสุดของการตรวจวัด 0.51 มิลลิกรัมต่อลิตร ค่าสัมประสิทธิ์ของการตัดสินใจ (R<sup>2</sup>) เท่ากับ 0.9956 ค่าความเที่ยงในการวิเคราะห์ของวิธีที่พัฒนาขึ้นภายในวันเดียวกันและต่างวันกันมีค่าร้อยละส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสัมพัทธ์ (%RSD) เท่ากับ 0.14 และ 1.28 ตามลำดับ ร้อยละการกลับคืนอยู่ในช่วง 87-104 เปอร์เซ็นต์ เมื่อวิเคราะห์ปริมาณเหล็กในตัวอย่างเม็ดยาเสริมธาตุเหล็กด้วยวิธีที่พัฒนาขึ้นพบว่าให้ผลการวิเคราะห์ที่มีความสอดคล้องกับเทคนิคเฟลมอะตอมมิกแอบซอร์พชันสเปกโทรสโกปี (Flame-Atomic Absorption Spectroscopy) วิธีที่พัฒนาขึ้นจากงานวิจัยนี้เป็นวิธีที่ง่าย สะดวก ใช้สารสกัดใบบัวหลวงเป็น รีเอเจนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเครื่องมือที่ใช้ยังมีอยู่ทั่วไปในห้องปฏิบัติการและราคาถูก</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/252540
ผลของ pH เวลา และอุณหภูมิต่อปริมาณกรดแกมมาอะมิโนบิวทีริก (สารกาบ้า) ของข้าวหลากสายพันธุ์ในพื้นที่ปลูกจังหวัดนครสวรรค์
2024-07-15T10:37:42+07:00
ณัชฐ์ธพงศ์ เพชรอำไพ
natth1977@gmail.com
ศิริกาญจนา ศิรินนทร์
sirikanjana.sir@mahidol.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของ pH อุณหภูมิ และระยะเวลาในการแช่ และการงอกต่อปริมาณกรดแกมมาอะมิโนบิวทีริกของข้าวที่ปลูกในจังหวัดนครสวรรค์จำนวน 26 สายพันธุ์ โดยใช้ข้าวพันธุ์ปทุมธานี1 เป็นพันธุ์อ้างอิงสภาวะที่เหมาะสมในสารละลายบัฟเฟอร์ (pH4, pH5, pH6, pH7) และน้ำ อุณหภูมิ (35, 40 และ 45 องศาเซลเซียส) และเวลาในการแช่ (3, 8 และ 12 ชั่วโมง) และเวลาในการงอก (24, 36 และ 48 ชั่วโมง) ที่แตกต่างกัน จากนั้นนำไปอบแห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส จนแห้งเพื่อหยุดการงอกของข้าว พบว่าสภาวะแช่ข้าว ในสารละลายบัฟเฟอร์ pH5 อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 8 ชั่วโมง ส่งผลให้ข้าวมีปริมาณสารกาบ้าสูงสุดในเมล็ดข้าว แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ในขณะที่สภาวะข้าวงอกมีปริมาณกาบ้าสูงสุดคือ ในสารละลายบัฟเฟอร์ pH5 อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 36 ชั่วโมง แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) จากนั้นทำการทดสอบในข้าวทั้ง 26 สายพันธุ์ ภายใต้สภาวะดังกล่าว พบว่า ข้าวที่มีกาบ้าสูงสุด ได้แก่ ข้าวพันธุ์หอมมะลิ105 มีปริมาณกาบ้าในช่วงแช่ข้าว และช่วงข้าวงอกเท่ากับ 12.79±0.12 และ 20.47±0.35 ppm ตามลำดับ ข้าวพันธุ์จ้าวขาวเจ๊กมีปริมาณกาบ้าในช่วงแช่ข้าวต่ำสุด(10.17±0.15 ppm) และข้าวพันธุ์ กข47 มีปริมาณกาบ้าในช่วงข้าวงอกต่ำสุด (11.58±0.15 ppm) ดังนั้นสภาวะเหมาะสมที่ข้าวมีปริมาณสาร กาบ้าสูงสุด เมื่อข้าวงอกในสารละลายบัฟเฟอร์ pH5 อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 36 ชั่วโมง แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/251875
การกำจัดสีย้อมเมทิลีนบลูด้วยผงเปลือกงาขาว
2024-03-25T14:45:48+07:00
สุปรียา กันยาประสิทธิ์
Supeeyx2186kan@gmail.com
ประยูร ประเทศ
prayoon.pra@lru.ac.th
ศิริรัตน์ แจ้งกรณ์
s.jangkorn@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้เป็นการนำเปลือกงาขาว ซึ่งเป็นของเสียทางการเกษตรกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยนำมาทำความสะอาด อบให้แห้งและบดเป็นผงละเอียด หลังจากนั้นนำมาดูดซับสีย้อมเมทิลีนบลู โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการดูดซับ ดังนี้ ปริมาณตัวดูดซับ ความเข้มข้นสีย้อมเมทิลีนบลู เวลาในการดูดซับ ความเร็วรอบเขย่าในการดูดซับ และความเป็นกรด-ด่างในการดูดซับ นอกจากนี้ได้ทำการศึกษาไอโซเทอมการดูดซับ โดยใช้เทคนิคสเปกโตรโฟเมตรีในการวิเคราะห์ตัวอย่าง ผลการศึกษาปัจจัยในการดูดซับแต่ละปัจจัย ที่ทำให้เกิดการดูดซับสีย้อมเมทิลีนบลูได้สูงที่สุดมีดังนี้ ปริมาณตัวดูดซับ 0.2 กรัม ความเข้มข้นสีย้อมเมทิลีนบลู 30 มิลลิกรัม/ลิตร เวลาในการดูดซับ 4 ชั่วโมง ความเร็วรอบเขย่าในการดูดซับ 150 รอบ/นาที และความเป็นกรด-ด่างในการดูดซับคือ 11 ซึ่งทั้งห้าปัจจัยได้ค่าร้อยละการดูดซับดังนี้ ร้อยละ 89.4, 93.3, 93.1, 89.8 และ 90.2 ตามลำดับ รวมถึงศึกษาไอโซเทอมการดูดซับ ซึ่งงานวิจัยนี้ใช้เทคนิคสเปกโตรโฟโตรเมตรีในการวิเคราะห์ตัวอย่าง พบว่าสอดคล้องกับไอโซเทอมการดูดซับแบบฟรุนดริช ซึ่งมีค่า R<sup>2</sup> เท่ากับ 0.93 สามารถอธิบายได้ว่าการดูดซับเกิดขึ้นบนพื้นผิวที่ขรุขระไม่เป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งการดูดซับบนพื้นผิวเป็นแบบหลายชั้น ดังนั้นผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าเปลือกงาขาวสามารถดูดซับสีย้อมเมทิลีนบลูได้ ซึ่งเป็นการนำของเสียทางการเกษตรกลับมาใช้ประโยชน์ และเป็นแนวทางการการบำบัดน้ำเสียที่ปนเปื้อนสีย้อมผ้า</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/249831
การคัดแยกราและยีสต์จากลูกแป้งเพื่อใช้ในการพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์สาโทจากข้าวพันธุ์พื้นเมืองบุรีรัมย์และสุรินทร์
2023-10-03T08:53:05+07:00
ประภาพันธ์ ศิริขันธ์แสง
prapaparn.sk@bru.ac.th
ประภัสรา ศิริขันธ์แสง
prapussara.si@srru.ac.th
ณัฐพงษ์ สวัสดี
nuttapongtsmile111@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดแยกราและยีสต์จากลูกแป้งให้ได้ราและยีสต์ที่เหมาะสมต่อการผลิตสาโทจากข้าวจิ๊บและข้าวผกาอำปึล โดยนำลูกแป้ง 20 ตัวอย่าง มาคัดแยกราเส้นใยและยีสต์ด้วยวิธี Aerobic plate count (APC) และ Enrichment technique (ET) พบว่าวิธี APC แยกราได้ 90 ไอโซเลท และแยกยีสต์ได้ 50 ไอโซเลท แล้วนำราและยีสต์ที่แยกได้ไปศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยาและชีวเคมี พบว่าแยกราที่ต่างกันได้ 6 ไอโซเลท และแยกยีสต์ที่ต่างกันได้ 2 ไอโซทเลท และระบุชนิดของเชื้อได้ดังนี้คือ <em>Aspergillus flavus</em> <em>A</em>. <em>oryzae</em> <em>A</em>. <em>niger</em> <em>Mucor indicus</em> และ <em>Saccharomycopsis fibuligera</em> โดยเชื้อ <em>A</em>. <em>flavus</em> และ <em>S</em>. <em>fibuligera</em> ที่ได้จะนำมาศึกษาประสิทธิภาพในการย่อยแป้งและใช้ในการผลิตสาโทต่อไป การแยกราเส้นใยและยีสต์ด้วยวิธี ET สามารถแยกราได้ทั้งหมด 7 ไอโซเลท และแยกยีสต์ได้ทั้งหมด 115 ไอโซเลท การศึกษาประสิทธิภาพของราในการย่อยแป้งพบว่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณใสของเชื้อ <em>A</em>. <em>flavus</em> และ <em>S</em>. <em>fibuligera</em> มีค่า 3.41±0.22 และ 2.93±0.11 เซนติเมตรตามลำดับ การผลิตสาโทจากราและยีสต์ที่แยกได้ใช้ความเข้มข้นของราเริ่มต้นเท่ากับ 0.57×10<sup>7</sup> เซลล์ต่อมิลลิลิตร และยีสต์เท่ากับ 1.00×10<sup>7</sup> เซลล์ต่อมิลลิลิตร หมักครบเวลา 3 วัน แล้วผ่าน้ำโดยเติมน้ำเชื่อมความเข้มข้น 16 องศาบริกซ์ ปริมาตร 1.5 ลิตรต่อข้าว 1 กิโลกรัม เมื่อสิ้นสุดกระบวนการหมักเป็นเวลา 7 วัน พบว่าปริมาณของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมดของสาโทข้าวจิ๊บและสาโทข้าวผกาอำปึลมีค่าเท่ากับ 12.73±0.09 และ 13.20±0.20 องศาบริกซ์ตามลำดับ ปริมาณน้ำตาลรีดิวซ์มีค่าเท่ากับ 137.05±0.00 และ 141.45±0.01 กรัมต่อลิตร ในสาโทข้าวจิ๊บและสาโทข้าวผกาอำปึล ตามลำดับ ค่า pH เท่ากับ 3.64±0.21 และ 4.14±0.09 ในสาโทข้าวจิ๊บและสาโทข้าวผกาอำปึลตามลำดับ และปริมาณแอลกอฮอล์ของสาโทข้าวจิ๊บและสาโทข้าวผกาอำปึลมีค่าเท่ากับ 4.50±0.74 และ 4.26±0.32 เปอร์เซ็นต์โดยปริมาตรตามลำดับ</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/253371
การเพิ่มประสิทธิภาพความแม่นยำในการจำแนกความสุกของทุเรียนด้วยการตัดภาพพื้นหลังแบบไฮบริด
2024-09-20T09:25:52+07:00
รติพร จันทร์กลั่น
ratiporn.ch@rmuti.ac.th
กีระชาติ สุขสุทธิ์
keerachart.su@rmuti.ac.th
เกตุกาญจน์ โพธิจิตติกานต์
kedkarn@rmuti.ac.th
พรภัสสร อ่อนเกิด
pornpassorn.on@rmuti.ac.th
อภิชาต ติรประเสริฐสิน
apichat@rmuti.ac.th
<p>ทุเรียนเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ได้รับความนิยมในการบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ทุเรียนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะทุเรียนสายพันธุ์หมอนทองซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ซึ่งทุเรียนสามารถบริโภคได้ทั้งการบริโภคแบบสด หรือบริโภคแปรรูปได้ สำหรับการบริโภคทุเรียนแบบสดหรือต้องการซื้อทุเรียนเพื่อทำการแปรรูปโดยมีเงื่อนไขจากระดับความสุกของทุเรียนเข้ามาเกี่ยวข้อง หากไม่มีความเชี่ยวชาญในการจำแนกทุเรียนสุกหรือดิบ อาจส่งผลให้ได้รับทุเรียนที่ไม่ตรงตามความต้องการของตนเอง ซึ่งในปัจจุบันมีการประยุกต์เทคนิคด้านปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ในการจำแนกระดับความสุกของผลไม้เพื่อช่วยผู้บริโภคในการเลือกผลไม้ให้ได้ตรงตามที่ต้องการ โดยใช้รูปภาพของผลไม้ซึ่งบางครั้งจะมีภาพพื้นหลังติดไปด้วย เมื่อนำภาพเหล่านั้นไปประมวลผลจะต้องมีการตัดภาพพื้นหลังออกเพื่อให้ประสิทธิภาพในการจำแนกข้อมูลดีขึ้น ในบางครั้งการใช้ความรู้ด้านการประมวลผลภาพที่มีอยู่ในการตัดพื้นหลังของรูปด้วยอัลกอริทึมสำหรับตัดภาพพื้นหลังเพียงชนิดเดียวอาจจะไม่ดีเพียงพอต่อการใช้งานสำหรับบางข้อมูล ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงนำเสนอการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้เชิงลึกในการจำแนกความสุกของทุเรียนด้วยการตัดภาพพื้นหลังแบบไฮบริด ด้วยการใช้อัลกอริทึมโซเบลในการหาขอบของทุเรียนร่วมกับการตัดภาพพื้นหลังด้วยอัลกอริทึมแกรปคัท หลังจากนั้นนำไปสร้างรูปแบบการเรียนรู้ด้วยอัลกอริทึมการเรียนรู้เชิงลึก 4 รูปแบบ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการจำแนกระดับความสุกของทุเรียนระหว่างการใช้รูปดั้งเดิมกับการใช้รูปภาพที่ตัดพื้นหลัง ผลลัพธ์ที่ได้พบว่าวิธีการตัดภาพพื้นหลังที่นำเสนอส่งผลให้ความแม่นยำในการจำแนกประเภททุเรียนมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยเฉลี่ยทั้ง 4 อัลกอริทึมมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 8</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/RMUTP/article/view/255357
สมบัติของเชื้อเพลิงชีวมวลและถ่านจากเศษมะพร้าวน้ำหอมเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมทางการเกษตร
2024-09-19T09:59:39+07:00
นริส ประทินทอง
naris.pra@kmutt.ac.th
สร้อยดาว วินิจนันทรัตน์
soydoa.vin@mail.kmutt.ac.th
นารีรัตน์ สุขขี
NSnazasd@gmail.com
พิสิฐพงษ์ อินทรพงษ์
pisit.int@kmutt.ac.th
อัจฉรีย์ มานะกิจ
atcharee_noon@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการนำเศษมะพร้าวน้ำหอมเหลือทิ้ง 4 กลุ่ม ได้แก่ กะลา เปลือก เปลือกติดกะลา และทะลายเปล่า จากอุตสาหกรรมทางการเกษตรในจังหวัดราชบุรีและสมุทรสงครามมาวิเคราะห์สมบัติของเชื้อเพลิง และถ่านที่ได้มากระบวนการเผาทั้งจากเตาหลุมและเตาถังขนาด 200 ลิตร วิเคราะห์ปริมาณกลุ่มสารโดยประมาณได้แก่ ความชื้น เถ้า สารระเหย และคาร์บอนคงตัว ตามมาตรฐานของสมาคมการทดสอบและวัสดุอเมริกัน D3172-13(2021)e1 วิเคราะห์ค่าความร้อนด้วยบอมบ์ แคลอริมิเตอร์ และวิเคราะห์โดยละเอียดได้แก่ ปริมาณคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน และซัลเฟอร์ รวมทั้งการนำไปอัดเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล และถ่านอัดแท่งโดยใช้แป้งมันสำปะหลังเป็นตัวประสาน ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในค่าความร้อนสูงของวัสดุที่นำมาทดสอบซึ่งแตกต่างกันไปตามกลุ่มและแหล่งที่มา ค่าความร้อนของเศษมะพร้าวเหลือทิ้งอยู่ในช่วง 17.38 ถึง 20.48 เมกะจูล/กิโลกรัม ขณะที่ถ่านจากเศษวัสดุเหลือทิ้งเหล่านี้อยู่ในช่วง 24.14 ถึง 31.84 เมกะจูล/กิโลกรัม พบว่าค่าความร้อนเชื้อเพลิงที่ได้จากทั้งสองเตามีค่าใกล้เคียงกัน โดยกะลาแสดงค่าความร้อนสูงที่สุด รองลงมาคือ เปลือกติดกะลา การทำนายค่าความร้อนของถ่านด้วยสมการที่นำเสนอโดย Demirbas บนการวิเคราะห์ปริมาณกลุ่มสารโดยประมาณให้ผลที่ใกล้เคียงกัน โดยมีความคลาดเคลื่อนโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 5 ซึ่งสะดวกต่อการใช้งานในทางปฏิบัติ เชื้อเพลิงอัดแท่งจากเศษมะพร้าวน้ำหอมที่เหมาะสมได้แก่ชีวมวลจากเปลือกมะพร้าวและถ่านจากกะลามะพร้าวเนื่องจากให้ค่าความร้อนมากกว่า 20 เมกะจูล/กิโลกรัม</p>
2025-06-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025