https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/issue/feed
วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด: วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2025-09-16T09:16:11+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พูนสุข จันทศิลป์
science101@reru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด: วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับตีพิมพ์บทความ ในสาขาวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ชีวเคมี จุลชีววิทยา เทคโนโลยีชีวภาพ เกษตรศาสตร์ วิทยาศาสตร์การอาหาร วิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี (ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์) และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>Peer Review Process (กระบวนการ Review)</strong></p> <p>ผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้ประเมินบทความ (double blinded peer review) จำนวน 3 ท่าน/บทความ และต้องผ่านการกลั่นกรอง 2 ใน 3</p> <p><strong>Language (ภาษาที่รับตีพิมพ์)</strong></p> <p><em> </em> ภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ<em><br /></em></p> <p><strong>Publication Frequency (กำหนดออก)</strong></p> <p>วารสารตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี </p> <ul> <li class="show">ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน</li> <li class="show">ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม</li> <li class="show">ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</li> </ul>
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/259411
ระบบบริหารจัดการคิวและการสั่งอาหารในร้านอาหารผ่านแพลตฟอร์มเว็บบราวเซอร์
2025-05-21T09:14:51+07:00
ณัฐพล ไพโรจน์
nattapon.pai@vru.ac.th
ชวลิต โควีระวงศ์
chavalit@vru.ac.th
ณัฐรดี อนุพงค์
Natradee@vru.ac.th
ดาวรถา วีระพันธ์ วีระพันธ์
daorathar@vru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการคิวและการสั่งอาหารในร้านอาหารผ่านแพลตฟอร์มเว็บบราวเซอร์ให้มีประสิทธิภาพ และประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ระบบพัฒนาตามกระบวนการพัฒนาระบบงาน (System Development Life Cycle: SDLC) เริ่มจากศึกษาปัญหาและรวบรวมความต้องการของผู้ใช้ ออกแบบและพัฒนาระบบโดยใช้ภาษา Visual Studio Code และ MySQL สำหรับการจัดการฐานข้อมูล กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย เจ้าของร้านและพนักงาน จำนวน 5 คน และผู้ใช้บริการ จำนวน 25 คน รวมทั้งหมด 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบ และแบบประเมินความ<br />พึงพอใจของผู้ใช้งาน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบบริหารจัดการคิวและการสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มเว็บบราวเซอร์ที่พัฒนาขึ้นแบ่งการใช้งานออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มลูกค้า สามารถเลือกเมนูอาหาร จัดการการจองคิวโต๊ะ และสั่งอาหารล่วงหน้า (2) กลุ่มพนักงาน สามารถจัดการข้อมูลเมนูอาหาร ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลการจองได้อย่างเป็นระบบ และ (3) กลุ่มเจ้าของร้าน มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการข้อมูลทั้งหมด ทั้งในส่วนของอาหาร ลูกค้า พนักงาน และการจอง ตลอดจนสามารถเรียกดูรายงานยอดขายและรายงานการสั่งอาหาร ซึ่งมีประโยชน์ในการวิเคราะห์ข้อมูล และการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลการประเมินประสิทธิภาพของระบบในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.58 และ 2) ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ด้านประสิทธิภาพและประโยชน์ของระบบอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.36 ด้านการสนับสนุนและการให้บริการอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.30 และด้านการออกแบบระบบได้รับค่าความพึงพอใจในระดับมาก ด้วยค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.36 โดยสรุปผู้ใช้งานมีความพึงพอใจต่อระบบที่พัฒนาขึ้นในทุกด้านอยู่ในระดับมาก</p>
2025-09-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/258394
ผลของโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของโรคติดต่อในเขตพื้นที่ชายแดน อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
2025-08-06T09:58:42+07:00
ซารีฟะห์ อาลีซู
sareefah.a@ku.th
ฟาติน่า ทองสีสัน
fatina.t@ku.th
นูซูลา บาสา
nusula.b@ku.th
นิค็อยรุนนีสะ แวหามะ
nikoironnisah.w@ku.th
อัจฉรา แสนสีแก้ว
adsara.s@ku.th
นิตยา ฉายฉันท์
nitaya9651@gmail.com
ศรีวิภา ช่วงไชยยะ
sriwipa.c@ku.th
อภิรดี วังคะฮาต
apiradee.w@ku.th
อนันต์ อิฟติคาร
anan.i@ku.th
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพเกี่ยวกับโรคติดต่อในเขตพื้นที่ชายแดน และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของความรู้ ทัศนคติ ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพโรคติดต่อในเขตพื้นที่ชายแดนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านก่อนและหลังการดำเนินกิจกรรม กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ปฏิบัติงานในหน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม จำนวน 80 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามเกณฑ์คัดเข้าและคัดออก โดยพิจารณาจากคุณสมบัติและลักษณะของกลุ่มตัวอย่างให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดำเนินกิจกรรมโดยใช้โปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคติดต่อในเขตพื้นที่ชายแดน โดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีความรอบรู้ด้านสุขภาพตามแนวทางของ Nutbeam และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 5 ส่วน โดยผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) จากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ผู้วิจัยคัดเลือกข้อคำถามที่มีค่า IOC มากกว่า 0.5 และหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน วิเคราะห์ความเชื่อมั่นรายข้อ (Item Analysis) โดยใช้ค่าความเชื่อมั่นแบบ KR-20 และค่าความเชื่อมั่นของครอนบาค (Cronbach's Alpha) โดยรวมเท่ากับ 0.922 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน Paired Sample t-test เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมของตัวแปรต่าง ๆ ได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมการปฏิบัติต่อการป้องกันโรคติดต่อ ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 87.50 อยู่ในช่วงอายุ 61-70 ปี ร้อยละ 33.75 จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 53.75 มีระยะเวลาในการปฏิบัติงานในหน่วยงานบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลนครพนม 1-5 ปี ร้อยละ 22.50 และเคยผ่านการอบรมเกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อ ร้อยละ 95.00 และพบว่า หลังดำเนินกิจกรรม อาสาธารณสุขสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน มีระดับคะแนนพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองและการป้องกันโรคติดต่ออยู่ในระดับสูง ร้อยละ 83.8 ทัศนคติเกี่ยวกับการดูแลตนเองและการป้องกันโรคติดต่ออยู่ในระดับสูง ร้อยละ 98.7 ความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันโรคติดต่อ อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 96.3 พฤติกรรมการปฏิบัติต่อการป้องกันโรคติดต่ออยู่ในระดับสูงร้อยละ 100 ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าหลังการดำเนินกิจกรรมมีค่าคะแนนสูงกว่าก่อนการดำเนินกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p-value < 0.005)</p>
2025-09-10T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/259974
สายพันธุ์ข้าวโพดต่อการทำลายของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด Spodoptera frugiperda (J.E. Smith)
2025-07-20T13:34:07+07:00
อโนทัย วิงสระน้อย
anothai.wi@rmuti.ac.th
ธิดารัตน์ ชาวยศ
thidaratnchawys@gmail.com
วรางรัตน์ เป้งไชยโม
varangrat@snru.ac.th
<p>หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด (<em>Spodoptera frugiperda</em> (J.E.Smith)เป็นแมลงศัตรูพืชต่างถิ่นสายพันธุ์ที่มีการระบาดรุนแรงในประเทศไทย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสายพันธุ์ข้าวโพดต่อการเข้าทำลายของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด ในข้าวโพด 3 สายพันธุ์ คือ ข้าวโพดเทียน ข้าวโพดหวานลูกผสมจัมโบ้สวีท F1 และข้าวโพดข้าวเหนียวหวานลูกผสมสวีทไวท์ 25 F1 โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized design; CRD) จำนวน 12 ซ้ำ พบหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด เข้าทำลายลำต้นของข้าวโพดเทียนและข้าวโพดข้าวเหนียวหวานลูกผสมสวีทไวท์ 25 F1 แต่ไม่ทำลายลำต้นข้าวโพดหวานลูกผสมจัมโบ้ สวีท F1 โดยข้าวโพดเทียนลำต้นถูกทำลายเมื่ออายุ 51 – 65 วัน (0.17 %) ส่วนข้าวโพดข้าวเหนียวหวานลูกผสมสวีทไวท์ 25 F1 พบอายุ 44 – 65 วัน (0.08 %) <strong> </strong>หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด กัดกินใบข้าวโพดทุกสายพันธุ์และทุกช่วงอายุ การทำลายส่งผลกระทบต่อความสูงของลำต้นข้าวโพดในทุกสายพันธุ์ ข้าวโพดหวานลูกผสมจัมโบ้ สวีท F1 มีความสูงลดลงมากที่สุด การทำลายมีผลทำให้ความกว้างของใบลดลงอย่างชัดเจนในทุกสายพันธุ์และทุกช่วงอายุ โดยส่งผลกระทบต่อขนาดความกว้างของใบข้าวโพดเทียนมากที่สุด</p>
2025-09-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/261107
การเปรียบเทียบโปรแกรมกำหนดเวลาผสมเทียมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ ในโคเนื้อลูกผสม
2025-09-02T12:59:36+07:00
วิไลวรรณ ขันธุแสง
vilaivan.reru@gmail.com
คู่ขวัญ จุลละนันทน์
kchullanandana@reru.ac.th
ก้องเกียรติ สุขเกษม
kongkeits@gmail.com
ณัฐวุฒิ สุทธิบาก
Sutthibak5@gmail.com
คณิน บรรณกิจ
kaninbunnakit@hotmail.com
<p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบโปรแกรมกำหนดเวลาผสมเทียมสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ในโคเนื้อลูกผสม โดยใช้โคเนื้อลูกผสม จำนวน 40 ตัว สุ่มโคเนื้อให้ได้รับโปรแกรมกำหนดเวลาผสมเทียม7-day Co-Synch + CIDR<sup>® </sup>และ 9-day Co-Synch + CIDR<sup>® <br /></sup>จากการศึกษาพบว่า ร้อยละของการแสดงอาการเป็นสัดหลังจากถอนฮอร์โมน CIDR ภายใน 66 ชั่วโมง ในโคเนื้อลูกผสมทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P > 0.05) อย่างไรก็ตามขนาดของ<br />ฟอลลิเคิลที่มีขนาดใหญ่ในวันที่ผสมเทียมแบบกำหนดเวลาในโคเนื้อกลุ่ม 9-day CO-Synch+CIDR<sup>® </sup>มีขนาดใหญ่กว่าโคเนื้อกลุ่ม 7-day CO-Synch+CIDR<sup>® </sup>อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (14.6 vs. 11.4 มิลลิเมตร; P < 0.05) อัตราการตกไข่และอัตราการผสมติดของโคเนื้อทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P > 0.05) อย่างไรก็ตามพบว่าโคเนื้อในกลุ่ม 9-day CO-Synch+CIDR<sup>® </sup>มีแนวโน้มของอัตราการตกไข่ (75.0 vs. 60.0%) และอัตราการผสมติด (70.0 vs. 60.0%) ดีกว่าโคเนื้อในกลุ่ม 7-day CO-Synch+CIDR<sup>® </sup>ดังนั้น การศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่าโคเนื้อในกลุ่ม 9-day Co-Synch + CIDR<sup>® </sup>มีขนาดของฟอลลิเคิลที่มีขนาดใหญ่ในวันที่ผสมเทียมแบบกำหนดเวลาที่ดีกว่ากลุ่ม 7-day CO-Synch+CIDR<sup>®</sup> แต่ไม่ส่งผลต่ออัตราการผสมติด </p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/261053
การประเมินความรู้และการส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ของเกษตรกร ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี
2025-09-12T13:53:10+07:00
นิวัตน์ เพ็งพูล
niwat_3@hotmail.com
นารีรัตน์ สีระสาร
nareerat.see@stou.ac.th
พลสราญ สราญรมย์
ponsaran.sar@stou.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) การประเมินระดับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ของเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดสระบุรี (2) ความต้องการในการส่งเสริม และ (3) การวิเคราะห์ปัญหาและข้อเสนอแนะจากเกษตรกรเกี่ยวกับการส่งเสริมและการปฏิบัติตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อนำไปสู่แนวทางการพัฒนาการเกษตรที่เหมาะสม ประชากรในการวิจัย คือ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี จำนวน 839 คน คำนวณหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน ค่าความคลาดเคลื่อนเท่ากับ 0.05 ได้จำนวน 271 ราย สุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรมีการปฏิบัติตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 0.79) โดยมีการจัดสรรพื้นที่ทำการเกษตรเป็น 4 ส่วน (สระน้ำ, ที่นา, พืชไร่, ที่อยู่อาศัย) ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับหลักการ ตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ (ค่าเฉลี่ย = 0.81) และกิจกรรมที่ปฏิบัติคือการปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้นมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 0.82) อย่างไรก็ตาม เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย = 1.89) โดยได้รับความรู้จากสื่อมวลชนเป็นหลัก (ค่าเฉลี่ย = 2.34) แต่ยังขาดความรู้จากสื่อสิ่งพิมพ์ (ค่าเฉลี่ย = 1.52) นอกจากนี้ยังพบว่าเกษตรกรร้อยละ 94.5 มีความรู้ความเข้าใจในระดับมาก แต่รายได้จากการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ยังค่อนข้างน้อย โดยเกษตรกรร้อยละ 48 มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 50,000 บาท โดยกิจกรรมหลักที่สร้างรายได้คือการปลูกพืชผัก (รายวันและรายสัปดาห์) และการทำนา (รายเดือน) ส่วนรายได้รายปีมาจากการปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น เกษตรกรส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะเข้ารับการอบรมความรู้และศึกษาดูงานเพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะในการทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ ปัญหาหลักที่พบคือการขาดความสอดคล้องในการปฏิบัติตามหลักการเกษตรทฤษฎีใหม่ เนื่องจากเกษตรกรยังขาดความเข้าใจในรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ขาดแคลนแรงงาน และมีข้อจำกัดด้านเงินทุน</p>
2025-10-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/261051
กีฬา อบต. โลก: พลวัตนันทนาการชุมชนในการสร้างทุนทางสังคมและอัตลักษณ์ในบริบทชนบทของไทย
2025-09-14T21:28:00+07:00
เตชภณ ทองเติม
spsc_network@hotmail.com
ธนวัฒน์ เกียรติเจริญศิริ
kiatcharernsiri2541@gmail.com
<p>ในยุคที่ผู้คนแสวงหาการเชื่อมโยงทางสังคมและสุขภาวะที่สมดุล กิจกรรมกีฬาที่จัดโดยองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในประเทศไทยได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ซับซ้อน จนถูกเรียกขานโดยเยาวชนในชุมชนว่า “กีฬา อบต. โลก” ซึ่งสะท้อนทั้งความจริงจังของการแข่งขันและพลวัตของความสัมพันธ์ทางสังคมในชนบท ดังนั้นบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์บทบาทของกีฬา อบต. ในฐานะกิจกรรมนันทนาการเชิงชุมชนที่ส่งผลต่อสุขภาวะ สังคม และวัฒนธรรม 2) ประเมินศักยภาพของกีฬา อบต. ในการเป็นกลไกเสริมสร้างทุนทางสังคมและพลวัตชุมชน 3) พัฒนาและนำเสนอกรอบแนวคิดเชิงระบบเพื่ออธิบายกีฬา อบต. ในฐานะกลไกนันทนาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และ 4) เสนอแนวทางนโยบายและการจัดการที่เปิดโอกาสให้ชุมชนมีบทบาทนำในกระบวนการพัฒนา โดยอาศัยการสังเคราะห์วรรณกรรม การวิเคราะห์ภาคสนาม และกรอบแนวคิดด้านนันทนาการร่วมสมัย ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า กีฬา อบต. มิใช่เพียงเวทีการแข่งขันเพื่อความบันเทิงหรือสุขภาพ แต่เป็นกลไกที่หล่อหลอมสุขภาวะองค์รวม เสริมสร้างทุนทางสังคม และธำรงอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่างลุ่มลึก ผ่านการสร้างพื้นที่กลางเพื่อการเรียนรู้ระหว่างรุ่น การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการผลิตซ้ำวัฒนธรรมชุมชน ขณะเดียวกัน กิจกรรมนี้ยังแฝงด้วยแรงกดดันเชิงแข่งขัน ความตึงเครียดระหว่างกลุ่ม และข้อจำกัดด้านทรัพยากร ซึ่งอาจบั่นทอนความสมานฉันท์และความเท่าเทียม หากปราศจากการจัดการอย่างเป็นระบบ ดังนั้นบทความจึงนำเสนอกรอบแนวคิดเชิงบูรณาการที่ผสานสุขภาวะ ทุนทางสังคม และการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบและบริหารจัดการกิจกรรมกีฬา อบต. ให้ก้าวข้ามจากกิจกรรมท้องถิ่นประจำปีไปสู่การเป็นยุทธศาสตร์ชุมชนที่เสริมสร้างพลังพลเมืองและความเข้มแข็งของสังคมไทยในระยะยาว</p>
2025-10-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/261256
การประยุกต์ใช้ ChatGPT เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดสร้างสรรค์
2025-09-16T09:16:11+07:00
ทักษิณพัฒน์ ศรีขวาชัย
draunt2519@gmail.com
<p>ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence: AI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) เช่น ChatGPT ได้สร้างโอกาสใหม่ๆ ในการส่งเสริมสมรรถนะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 รวมถึงการคิดสร้างสรรค์การศึกษานี้เป็นการสำรวจศักยภาพของ ChatGPT ในฐานะเครื่องมือทางการสอน เพื่อช่วยพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ในบริบททางการศึกษา โดยอาศัยกรอบแนวคิดความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ เช่น ความคล่องแคล่ว ความยืดหยุ่น ความคิดริเริ่ม และการขยายความ บทความนี้ศึกษาว่า ChatGPT สามารถสนับสนุน การสร้างสรรค์แนวคิดส่งเสริมการคิดแบบขยาย (Divergent Thinking) และการคิดแบบบรรจบ (Convergent Thinking) และเป็นพื้นฐานสำหรับผู้เรียนที่มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาได้อย่างไร หลักฐานเชิงประจักษ์จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้บ่งชี้ว่า ChatGPT สามารถกระตุ้นการระดมสมอง ขยายมุมมองทางปัญญา และส่งเสริมการปรับปรุงความคิดแบบวนซ้ำ ซึ่งนำไปสู่ประสิทธิภาพการสร้างสรรค์ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายอยู่ รวมถึงปัญหาการพึ่งพาตนเองมากเกินไป การขาดความเห็นอกเห็นใจในบริบทและความกังวลเกี่ยวกับความเป็นผู้ประพันธ์และความคิดริเริ่ม ตามแนวทางที่กล่าวมาข้างต้นนี้สามารถสรุปได้ว่า ChatGPT เมื่อบูรณาการอย่างรอบด้านเข้ากับการออกแบบการเรียน การสอนและการผสมผสานกับแนวปฏิบัติทางการสอนที่สะท้อนความคิด สามารถเป็นพันธมิตรร่วมสร้างสรรค์ที่มีคุณค่าในการบ่มเพาะทักษะการคิดสร้างสรรค์ให้เกิดแก่ผู้เรียน</p> <p> </p>
2025-10-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด