วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด: วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU
<p>วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด: วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับตีพิมพ์บทความ ในสาขาวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ชีวเคมี จุลชีววิทยา เทคโนโลยีชีวภาพ เกษตรศาสตร์ วิทยาศาสตร์การอาหาร วิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี (ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์) และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>Peer Review Process (กระบวนการ Review)</strong></p> <p>ผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้ประเมินบทความ (double blinded peer review) จำนวน 3 ท่าน/บทความ และต้องผ่านการกลั่นกรอง 2 ใน 3</p> <p><strong>Language (ภาษาที่รับตีพิมพ์)</strong></p> <p><em> </em> ภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ<em><br /></em></p> <p><strong>Publication Frequency (กำหนดออก)</strong></p> <p>วารสารตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี </p> <ul> <li class="show">ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน</li> <li class="show">ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม</li> <li class="show">ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</li> </ul>
มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
th-TH
วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด: วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3088-1145
<div class="item copyright"> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> </div>
-
กีฬา อบต. โลก: พลวัตนันทนาการชุมชนในการสร้างทุนทางสังคมและอัตลักษณ์ในบริบทชนบทของไทย
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/261051
<p>ในยุคที่ผู้คนแสวงหาการเชื่อมโยงทางสังคมและสุขภาวะที่สมดุล กิจกรรมกีฬาที่จัดโดยองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในประเทศไทยได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ซับซ้อน จนถูกเรียกขานโดยเยาวชนในชุมชนว่า “กีฬา อบต. โลก” ซึ่งสะท้อนทั้งความจริงจังของการแข่งขันและพลวัตของความสัมพันธ์ทางสังคมในชนบท ดังนั้นบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์บทบาทของกีฬา อบต. ในฐานะกิจกรรมนันทนาการเชิงชุมชนที่ส่งผลต่อสุขภาวะ สังคม และวัฒนธรรม 2) ประเมินศักยภาพของกีฬา อบต. ในการเป็นกลไกเสริมสร้างทุนทางสังคมและพลวัตชุมชน 3) พัฒนาและนำเสนอกรอบแนวคิดเชิงระบบเพื่ออธิบายกีฬา อบต. ในฐานะกลไกนันทนาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และ 4) เสนอแนวทางนโยบายและการจัดการที่เปิดโอกาสให้ชุมชนมีบทบาทนำในกระบวนการพัฒนา โดยอาศัยการสังเคราะห์วรรณกรรม การวิเคราะห์ภาคสนาม และกรอบแนวคิดด้านนันทนาการร่วมสมัย ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า กีฬา อบต. มิใช่เพียงเวทีการแข่งขันเพื่อความบันเทิงหรือสุขภาพ แต่เป็นกลไกที่หล่อหลอมสุขภาวะองค์รวม เสริมสร้างทุนทางสังคม และธำรงอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่างลุ่มลึก ผ่านการสร้างพื้นที่กลางเพื่อการเรียนรู้ระหว่างรุ่น การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการผลิตซ้ำวัฒนธรรมชุมชน ขณะเดียวกัน กิจกรรมนี้ยังแฝงด้วยแรงกดดันเชิงแข่งขัน ความตึงเครียดระหว่างกลุ่ม และข้อจำกัดด้านทรัพยากร ซึ่งอาจบั่นทอนความสมานฉันท์และความเท่าเทียม หากปราศจากการจัดการอย่างเป็นระบบ ดังนั้นบทความจึงนำเสนอกรอบแนวคิดเชิงบูรณาการที่ผสานสุขภาวะ ทุนทางสังคม และการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบและบริหารจัดการกิจกรรมกีฬา อบต. ให้ก้าวข้ามจากกิจกรรมท้องถิ่นประจำปีไปสู่การเป็นยุทธศาสตร์ชุมชนที่เสริมสร้างพลังพลเมืองและความเข้มแข็งของสังคมไทยในระยะยาว</p>
เตชภณ ทองเติม
ธนวัฒน์ เกียรติเจริญศิริ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-22
2025-10-22
6 3
194
210
-
การประยุกต์ใช้ ChatGPT เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดสร้างสรรค์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/261256
<p>ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence: AI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) เช่น ChatGPT ได้สร้างโอกาสใหม่ๆ ในการส่งเสริมสมรรถนะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 รวมถึงการคิดสร้างสรรค์การศึกษานี้เป็นการสำรวจศักยภาพของ ChatGPT ในฐานะเครื่องมือทางการสอน เพื่อช่วยพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ในบริบททางการศึกษา โดยอาศัยกรอบแนวคิดความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ เช่น ความคล่องแคล่ว ความยืดหยุ่น ความคิดริเริ่ม และการขยายความ บทความนี้ศึกษาว่า ChatGPT สามารถสนับสนุน การสร้างสรรค์แนวคิดส่งเสริมการคิดแบบขยาย (Divergent Thinking) และการคิดแบบบรรจบ (Convergent Thinking) และเป็นพื้นฐานสำหรับผู้เรียนที่มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาได้อย่างไร หลักฐานเชิงประจักษ์จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้บ่งชี้ว่า ChatGPT สามารถกระตุ้นการระดมสมอง ขยายมุมมองทางปัญญา และส่งเสริมการปรับปรุงความคิดแบบวนซ้ำ ซึ่งนำไปสู่ประสิทธิภาพการสร้างสรรค์ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายอยู่ รวมถึงปัญหาการพึ่งพาตนเองมากเกินไป การขาดความเห็นอกเห็นใจในบริบทและความกังวลเกี่ยวกับความเป็นผู้ประพันธ์และความคิดริเริ่ม ตามแนวทางที่กล่าวมาข้างต้นนี้สามารถสรุปได้ว่า ChatGPT เมื่อบูรณาการอย่างรอบด้านเข้ากับการออกแบบการเรียน การสอนและการผสมผสานกับแนวปฏิบัติทางการสอนที่สะท้อนความคิด สามารถเป็นพันธมิตรร่วมสร้างสรรค์ที่มีคุณค่าในการบ่มเพาะทักษะการคิดสร้างสรรค์ให้เกิดแก่ผู้เรียน</p> <p> </p>
ทักษิณพัฒน์ ศรีขวาชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-22
2025-10-22
6 3
211
226
-
ระบบบริหารจัดการคิวและการสั่งอาหารในร้านอาหารผ่านแพลตฟอร์มเว็บบราวเซอร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/259411
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการคิวและการสั่งอาหารในร้านอาหารผ่านแพลตฟอร์มเว็บบราวเซอร์ให้มีประสิทธิภาพ และประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ระบบพัฒนาตามกระบวนการพัฒนาระบบงาน (System Development Life Cycle: SDLC) เริ่มจากศึกษาปัญหาและรวบรวมความต้องการของผู้ใช้ ออกแบบและพัฒนาระบบโดยใช้ภาษา Visual Studio Code และ MySQL สำหรับการจัดการฐานข้อมูล กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย เจ้าของร้านและพนักงาน จำนวน 5 คน และผู้ใช้บริการ จำนวน 25 คน รวมทั้งหมด 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบ และแบบประเมินความ<br />พึงพอใจของผู้ใช้งาน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบบริหารจัดการคิวและการสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มเว็บบราวเซอร์ที่พัฒนาขึ้นแบ่งการใช้งานออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มลูกค้า สามารถเลือกเมนูอาหาร จัดการการจองคิวโต๊ะ และสั่งอาหารล่วงหน้า (2) กลุ่มพนักงาน สามารถจัดการข้อมูลเมนูอาหาร ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลการจองได้อย่างเป็นระบบ และ (3) กลุ่มเจ้าของร้าน มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการข้อมูลทั้งหมด ทั้งในส่วนของอาหาร ลูกค้า พนักงาน และการจอง ตลอดจนสามารถเรียกดูรายงานยอดขายและรายงานการสั่งอาหาร ซึ่งมีประโยชน์ในการวิเคราะห์ข้อมูล และการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลการประเมินประสิทธิภาพของระบบในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.58 และ 2) ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ด้านประสิทธิภาพและประโยชน์ของระบบอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.36 ด้านการสนับสนุนและการให้บริการอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.30 และด้านการออกแบบระบบได้รับค่าความพึงพอใจในระดับมาก ด้วยค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.36 โดยสรุปผู้ใช้งานมีความพึงพอใจต่อระบบที่พัฒนาขึ้นในทุกด้านอยู่ในระดับมาก</p>
ณัฐพล ไพโรจน์
ชวลิต โควีระวงศ์
ณัฐรดี อนุพงค์
ดาวรถา วีระพันธ์ วีระพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-05
2025-09-05
6 3
142
157
-
ผลของโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของโรคติดต่อในเขตพื้นที่ชายแดน อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/258394
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพเกี่ยวกับโรคติดต่อในเขตพื้นที่ชายแดน และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของความรู้ ทัศนคติ ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพโรคติดต่อในเขตพื้นที่ชายแดนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านก่อนและหลังการดำเนินกิจกรรม กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ปฏิบัติงานในหน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม จำนวน 80 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามเกณฑ์คัดเข้าและคัดออก โดยพิจารณาจากคุณสมบัติและลักษณะของกลุ่มตัวอย่างให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดำเนินกิจกรรมโดยใช้โปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคติดต่อในเขตพื้นที่ชายแดน โดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีความรอบรู้ด้านสุขภาพตามแนวทางของ Nutbeam และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 5 ส่วน โดยผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) จากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ผู้วิจัยคัดเลือกข้อคำถามที่มีค่า IOC มากกว่า 0.5 และหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน วิเคราะห์ความเชื่อมั่นรายข้อ (Item Analysis) โดยใช้ค่าความเชื่อมั่นแบบ KR-20 และค่าความเชื่อมั่นของครอนบาค (Cronbach's Alpha) โดยรวมเท่ากับ 0.922 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน Paired Sample t-test เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมของตัวแปรต่าง ๆ ได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมการปฏิบัติต่อการป้องกันโรคติดต่อ ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 87.50 อยู่ในช่วงอายุ 61-70 ปี ร้อยละ 33.75 จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 53.75 มีระยะเวลาในการปฏิบัติงานในหน่วยงานบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลนครพนม 1-5 ปี ร้อยละ 22.50 และเคยผ่านการอบรมเกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อ ร้อยละ 95.00 และพบว่า หลังดำเนินกิจกรรม อาสาธารณสุขสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน มีระดับคะแนนพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองและการป้องกันโรคติดต่ออยู่ในระดับสูง ร้อยละ 83.8 ทัศนคติเกี่ยวกับการดูแลตนเองและการป้องกันโรคติดต่ออยู่ในระดับสูง ร้อยละ 98.7 ความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันโรคติดต่อ อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 96.3 พฤติกรรมการปฏิบัติต่อการป้องกันโรคติดต่ออยู่ในระดับสูงร้อยละ 100 ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าหลังการดำเนินกิจกรรมมีค่าคะแนนสูงกว่าก่อนการดำเนินกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p-value < 0.005)</p>
ซารีฟะห์ อาลีซู
ฟาติน่า ทองสีสัน
นูซูลา บาสา
นิค็อยรุนนีสะ แวหามะ
อัจฉรา แสนสีแก้ว
นิตยา ฉายฉันท์
ศรีวิภา ช่วงไชยยะ
อภิรดี วังคะฮาต
อนันต์ อิฟติคาร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-10
2025-09-10
6 3
158
172
-
สายพันธุ์ข้าวโพดต่อการทำลายของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด Spodoptera frugiperda (J.E. Smith)
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/259974
<p>หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด (<em>Spodoptera frugiperda</em> (J.E.Smith)เป็นแมลงศัตรูพืชต่างถิ่นสายพันธุ์ที่มีการระบาดรุนแรงในประเทศไทย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสายพันธุ์ข้าวโพดต่อการเข้าทำลายของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด ในข้าวโพด 3 สายพันธุ์ คือ ข้าวโพดเทียน ข้าวโพดหวานลูกผสมจัมโบ้สวีท F1 และข้าวโพดข้าวเหนียวหวานลูกผสมสวีทไวท์ 25 F1 โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized design; CRD) จำนวน 12 ซ้ำ พบหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด เข้าทำลายลำต้นของข้าวโพดเทียนและข้าวโพดข้าวเหนียวหวานลูกผสมสวีทไวท์ 25 F1 แต่ไม่ทำลายลำต้นข้าวโพดหวานลูกผสมจัมโบ้ สวีท F1 โดยข้าวโพดเทียนลำต้นถูกทำลายเมื่ออายุ 51 – 65 วัน (0.17 %) ส่วนข้าวโพดข้าวเหนียวหวานลูกผสมสวีทไวท์ 25 F1 พบอายุ 44 – 65 วัน (0.08 %) <strong> </strong>หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด กัดกินใบข้าวโพดทุกสายพันธุ์และทุกช่วงอายุ การทำลายส่งผลกระทบต่อความสูงของลำต้นข้าวโพดในทุกสายพันธุ์ ข้าวโพดหวานลูกผสมจัมโบ้ สวีท F1 มีความสูงลดลงมากที่สุด การทำลายมีผลทำให้ความกว้างของใบลดลงอย่างชัดเจนในทุกสายพันธุ์และทุกช่วงอายุ โดยส่งผลกระทบต่อขนาดความกว้างของใบข้าวโพดเทียนมากที่สุด</p>
อโนทัย วิงสระน้อย
ธิดารัตน์ ชาวยศ
วรางรัตน์ เป้งไชยโม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-13
2025-09-13
6 3
173
183
-
การเปรียบเทียบโปรแกรมกำหนดเวลาผสมเทียมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ ในโคเนื้อลูกผสม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/261107
<p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบโปรแกรมกำหนดเวลาผสมเทียมสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ในโคเนื้อลูกผสม โดยใช้โคเนื้อลูกผสม จำนวน 40 ตัว สุ่มโคเนื้อให้ได้รับโปรแกรมกำหนดเวลาผสมเทียม7-day Co-Synch + CIDR<sup>® </sup>และ 9-day Co-Synch + CIDR<sup>® <br /></sup>จากการศึกษาพบว่า ร้อยละของการแสดงอาการเป็นสัดหลังจากถอนฮอร์โมน CIDR ภายใน 66 ชั่วโมง ในโคเนื้อลูกผสมทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P > 0.05) อย่างไรก็ตามขนาดของ<br />ฟอลลิเคิลที่มีขนาดใหญ่ในวันที่ผสมเทียมแบบกำหนดเวลาในโคเนื้อกลุ่ม 9-day CO-Synch+CIDR<sup>® </sup>มีขนาดใหญ่กว่าโคเนื้อกลุ่ม 7-day CO-Synch+CIDR<sup>® </sup>อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (14.6 vs. 11.4 มิลลิเมตร; P < 0.05) อัตราการตกไข่และอัตราการผสมติดของโคเนื้อทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P > 0.05) อย่างไรก็ตามพบว่าโคเนื้อในกลุ่ม 9-day CO-Synch+CIDR<sup>® </sup>มีแนวโน้มของอัตราการตกไข่ (75.0 vs. 60.0%) และอัตราการผสมติด (70.0 vs. 60.0%) ดีกว่าโคเนื้อในกลุ่ม 7-day CO-Synch+CIDR<sup>® </sup>ดังนั้น การศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่าโคเนื้อในกลุ่ม 9-day Co-Synch + CIDR<sup>® </sup>มีขนาดของฟอลลิเคิลที่มีขนาดใหญ่ในวันที่ผสมเทียมแบบกำหนดเวลาที่ดีกว่ากลุ่ม 7-day CO-Synch+CIDR<sup>®</sup> แต่ไม่ส่งผลต่ออัตราการผสมติด </p>
วิไลวรรณ ขันธุแสง
คู่ขวัญ จุลละนันทน์
ก้องเกียรติ สุขเกษม
ณัฐวุฒิ สุทธิบาก
คณิน บรรณกิจ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-23
2025-09-23
6 3
184
193
-
การประเมินความรู้และการส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ของเกษตรกร ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/261053
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) การประเมินระดับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ของเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดสระบุรี (2) ความต้องการในการส่งเสริม และ (3) การวิเคราะห์ปัญหาและข้อเสนอแนะจากเกษตรกรเกี่ยวกับการส่งเสริมและการปฏิบัติตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อนำไปสู่แนวทางการพัฒนาการเกษตรที่เหมาะสม ประชากรในการวิจัย คือ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี จำนวน 839 คน คำนวณหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน ค่าความคลาดเคลื่อนเท่ากับ 0.05 ได้จำนวน 271 ราย สุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรมีการปฏิบัติตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 0.79) โดยมีการจัดสรรพื้นที่ทำการเกษตรเป็น 4 ส่วน (สระน้ำ, ที่นา, พืชไร่, ที่อยู่อาศัย) ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับหลักการ ตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ (ค่าเฉลี่ย = 0.81) และกิจกรรมที่ปฏิบัติคือการปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้นมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 0.82) อย่างไรก็ตาม เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย = 1.89) โดยได้รับความรู้จากสื่อมวลชนเป็นหลัก (ค่าเฉลี่ย = 2.34) แต่ยังขาดความรู้จากสื่อสิ่งพิมพ์ (ค่าเฉลี่ย = 1.52) นอกจากนี้ยังพบว่าเกษตรกรร้อยละ 94.5 มีความรู้ความเข้าใจในระดับมาก แต่รายได้จากการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ยังค่อนข้างน้อย โดยเกษตรกรร้อยละ 48 มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 50,000 บาท โดยกิจกรรมหลักที่สร้างรายได้คือการปลูกพืชผัก (รายวันและรายสัปดาห์) และการทำนา (รายเดือน) ส่วนรายได้รายปีมาจากการปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น เกษตรกรส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะเข้ารับการอบรมความรู้และศึกษาดูงานเพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะในการทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ ปัญหาหลักที่พบคือการขาดความสอดคล้องในการปฏิบัติตามหลักการเกษตรทฤษฎีใหม่ เนื่องจากเกษตรกรยังขาดความเข้าใจในรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ขาดแคลนแรงงาน และมีข้อจำกัดด้านเงินทุน</p>
นิวัตน์ เพ็งพูล
นารีรัตน์ สีระสาร
พลสราญ สราญรมย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-27
2025-10-27
6 3
227
242
-
The Effects of Creative Explosive Power Training on Jump Performance in Male Students with a Background in Volleyball
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/261130
<p>This study investigated the effects of a creative explosive power training program, based on bodyweight plyometric principles, on jump performance and leg strength in male university volleyball players. Thirty volunteers with volleyball experience were purposively selected and completed a six-week program, performed three times per week for 60 minutes per session. Pre- and post-tests included standing vertical jump, walking vertical jump, running vertical jump, and isometric leg extension strength, analyzed using paired t-tests, p-values, and Cohen’s d. The results indicated significant improvements across all measures. The standing vertical jump increased from 7.07 ± 1.76 to 9.73 ± 2.05 inches (p < .001, d = 2.252). The walking vertical jump rose from 8.07 ± 1.80 to 11.83 ± 2.52 inches (p < .001, d = 2.678). The running vertical jump improved from 17.77 ± 4.23 to 21.70 ± 4.50 inches (p < .001, d = 3.355). Leg extension strength increased from 128.41 ± 25.23 to 157.74 ± 30.26 kg (p < .001, d = 1.456). These findings confirm that a creative plyometric-based training program can significantly enhance explosive power and lower-body strength, key determinants of volleyball performance. The program effectively improved vertical and dynamic jumping as well as quadriceps strength, supporting its relevance for skill-related tasks such as spiking and blocking. It provides practical insights for coaches and trainers seeking to optimize training strategies in competitive volleyball and can be adapted for broader athletic populations requiring explosive movements.</p> <p><strong> </strong></p>
Nicharee Jentaku
Thana Hinsui
Panida Chuwet
Pariwatr Paso
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-17
2025-11-17
6 3
243
255
-
การประเมินคุณภาพน้ำดื่มจากตู้กดน้ำเย็นสแตนเลสแบบน้ำพุกับเครื่องกรองน้ำแบบติดตั้งที่จุดใช้งาน
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/ScienceRERU/article/view/261212
<p>การศึกษานี้วัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และควบคุมคุณภาพน้ำดื่มจากตู้กดน้ำเย็นสแตนเลสแบบน้ำพุที่มีเครื่องกรองน้ำแบบติดตั้งที่จุดใช้งาน จำนวน 5 ตู้ เก็บตัวอย่างน้ำดื่มจากตู้กดน้ำเย็นเดือนละครั้ง ระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2567 ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 วิเคราะห์คุณภาพน้ำดื่มจำนวน 6 พารามิเตอร์ ได้แก่ ความเป็นกรด-ด่าง ของแข็งละลายน้ำทั้งหมด แบคทีเรียทั้งหมด โคลิฟอร์ม ฟีคัลโคลิฟอร์ม และ <em>Escherichia coli</em> ประเมินผลตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำบริโภค ในการวิเคราะห์คุณภาพน้ำดื่มช่วงที่ 1 เป็นเครื่องกรองน้ำระบบ Ultrafiltration เก็บตัวอย่าง 6 เดือน จำนวน 30 ตัวอย่าง พบว่าคุณภาพน้ำดื่มผ่านเกณฑ์มาตรฐานทุกพารามิเตอร์ จำนวน 10 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 33.3 ตัวอย่างน้ำดื่มมีค่าของแข็งละลายน้ำทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและตรวจไม่พบ <em>E. coli</em> ตัวอย่างน้ำดื่มบางช่วงพบว่ามีค่าความเป็นกรด-ด่างต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน พบจำนวนแบคทีเรียทั้งหมดมีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน พบการปนเปื้อนโคลิฟอร์มและฟีคัลโคลิฟอร์ม จากนั้นเปลี่ยนไส้กรองเครื่องกรองน้ำทั้งหมดเป็นระบบ Ultraviolet ทำการทดสอบคุณภาพน้ำดื่มช่วงที่ 2 เก็บตัวอย่าง 12 เดือน จำนวน 60 ตัวอย่าง พบว่าคุณภาพน้ำดื่มอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 100</p>
ส่าหรี บุญประสพ
ณัฐวัฒน์ จำปา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-17
2025-11-17
6 3
256
269