วิศวกรรมสารฉบับวิจัยและพัฒนา https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eit-researchjournal <p><strong>วิศวกรรมสารฉบับวิจัยและพัฒนา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) เป็นวารสารที่</strong><strong>เผยแพร่ผลงานวิจัยและพัฒนาด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 33 ปี และอยู่ในฐานข้อมูลศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) </strong></p> <p><strong>Print ISSN: 2730-1761 (Former ISSN 0857-7951)</strong></p> <p><strong>Online ISSN: 2730-2733 </strong></p> <p>----------</p> <p>วิศวกรรมสารฉบับวิจัยและพัฒนาสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีตั้งแต่ฉบับแรก ปี พ.ศ. 2533 ทางแท็ปเมนู "<a href="https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eit-researchjournal/issue/archive">บทความย้อนหลัง</a>"</p> <p> </p> วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ en-US วิศวกรรมสารฉบับวิจัยและพัฒนา 2730-1761 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิศวกรรมสารฉบับวิจัยและพัฒนา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์</p> การศึกษาเวลามาตรฐานของกิจกรรมก่ออิฐมอญผนังแบบครึ่งแผ่นด้วยวิธีการจับเวลาโดยตรง https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eit-researchjournal/article/view/258125 <p>การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพจัดเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการก่อสร้าง การศึกษาเวลามาตรฐานของกิจกรรมก่ออิฐผนังจึงมีความสำคัญต่อการวางแผนและควบคุมงานก่อสร้าง งานวิจัยนี้นำเสนอการศึกษาเวลามาตรฐานของกิจกรรมก่ออิฐผนังด้วยวิธีการจับเวลาในโครงการปรับปรุงต่อเติมห้องน้ำแห่งใหม่ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของหน่วยงานรัฐในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเวลามาตรฐานของกิจกรรมก่ออิฐผนังแบบครึ่งแผ่น ประเภทอิฐมอญโดยใช้วิธีการจับเวลาโดยตรง และเพื่อจำแนกกิจกรรมย่อยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่ากิจกรรมก่ออิฐผนังสามารถแบ่งออกเป็น 19 กิจกรรมย่อย และมีเวลามาตรฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 12.50 ชั่วโมงต่อพื้นที่ก่ออิฐผนัง 25 ตารางเมตร เมื่อพิจารณาระยะเวลาดำเนินการของแต่ละกิจกรรมย่อย พบว่า 3 อันดับกิจกรรมย่อยที่ใช้เวลามากที่สุด ได้แก่ อันดับที่ 1 คือ การตรวจสอบความเรียบร้อยและทำความสะอาดพื้นที่ใช้เวลา 106.50 นาที อันดับที่ 2 การเก็บงานก่ออิฐผนังแถวสุดท้ายใช้เวลา 82.60 นาที และอันดับที่ 3 คือ การก่ออิฐผนังแถวสุดท้ายใช้เวลา 71.30 นาที ตามลำดับ โดยเวลามาตรฐานที่ได้จากการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนงานก่ออิฐผนัง การประมาณราคากลาง การประเมินผลิตภาพ และการปรับปรุงกระบวนการทำงาน</p> สมจินตนา แขนงแก้ว เสฎฐวุฒิ ป้อมเผือก นิธิยา คำแก้ว ประจักษ์ กัลยาวีร์ วารุณี แพบัว ศิริประภา ม้าห้วย ศุภนุช ทองสุก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-30 2025-09-30 36 3 9 22 รูปแบบการพัฒนาจรณทักษะสำหรับวิศวกรตรวจสอบบุคคลที่สามในประเทศไทย https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eit-researchjournal/article/view/259511 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างจรณทักษะที่จำเป็นสำหรับวิศวกรตรวจสอบบุคคลที่สามในประเทศไทย โดยดำเนินการวิจัยผ่านกระบวนการที่ประกอบด้วย การทบทวนวรรณกรรม การสัมภาษณ์เชิงลึก การเสวนากลุ่ม การเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และการวิเคราะห์องค์ประกอบ จากผลการวิเคราะห์ พบว่าองค์ประกอบย่อยของจรณทักษะที่มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบ (Factor Loading) อยู่ในระดับสูง ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญต่อการปฏิบัติงาน สามารถจัดกลุ่มออกเป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่ การนำเสนองาน การเรียนรู้ตลอดชีวิต การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน และบุคลิกภาพ องค์ความรู้ที่ได้นี้จึงถูกนำไปใช้ในการสร้างรูปแบบการพัฒนาจรณทักษะที่ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ (1) การประเมินทักษะเบื้องต้น เพื่อวางแผนการพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เข้าร่วม (2) การฝึกอบรมผ่านกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก (3) การประเมินผลการเรียนรู้ โดยเปรียบเทียบผลก่อนและหลังอบรม พร้อมจำแนกระดับสมรรถนะเป็น 3 ระดับ ได้แก่ สมรรถนะพื้นฐาน สมรรถนะเชิงปฏิบัติ และสมรรถนะเชิงเชี่ยวชาญ และ (4) การติดตามผลระยะยาวผ่านระบบบันทึกผลงานและการทดสอบซ้ำ เพื่อใช้ในการทบทวนและปรับปรุงหลักสูตรอย่างน้อยทุก 5 ปี ผลการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีส่วนได้เสียจากภาคการศึกษา หน่วยงานกำกับ ผู้ใช้บริการตรวจสอบ และสมาคมวิชาชีพ พบว่าหลักสูตรมีความเหมาะสมในระดับมากถึงมากที่สุด โดยการนำเสนองานได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด (4.88) และมีข้อเสนอให้ปรับเนื้อหาให้ทันสมัย เพิ่มกรณีศึกษา และพัฒนาบุคลิกภาพเฉพาะรายบุคคลพร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาทักษะอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือปฏิบัติ ควบคู่กับการทบทวนความเหมาะสมของรายการจรณทักษะที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป งานวิจัยนี้จึงเสนอแนวทางการพัฒนาหลักสูตรที่มีความเป็นระบบ เชื่อมโยงกับภาคปฏิบัติ และสามารถประยุกต์ใช้กับสายวิชาชีพอื่น อันจะนำไปสู่การส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> วสวัตติ์ กฤษศิริธีรภาคย์ เลิศเลขา ศรีรัตนะ นันท์นภัสร อินยิ้ม กรกช ทวีสิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-30 2025-09-30 36 3 23 38 การศึกษาปัญหาด้านคุณภาพ และแนวทางแก้ไขงานก่อสร้างถนน กรณีศึกษา หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eit-researchjournal/article/view/259635 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาด้านคุณภาพ และแนวทางแก้ไขงานก่อสร้างถนนของ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย ประเมินและจัดลำดับความสำคัญของปัญหาและสาเหตุ ซึ่งผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้เทคนิคเดลฟายในการสร้างแบบสอบถาม โดยการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 เป็นการศึกษาและรวบรวมสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไขจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 12 คน ซึ่งนำข้อมูลที่ได้รับมาจัดกลุ่มประเด็นต่าง ๆ ช่วงที่ 2 สร้างแบบสอบถามโดยให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินระดับความเห็นด้วยกับสาเหตุของปัญหาและแนวทางการแก้ไข และผลที่ได้จะถูกนำไปใช้ในการสร้างแบบสอบถามในช่วงที่ 3 ซึ่งใช้ในการสอบถามกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างถนน จำนวน 146 คน เพื่อแสดงระดับความเห็นด้วยกับปัญหาและสาเหตุ รวมถึงแนวทางการแก้ไข ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการให้ความสำคัญกับประเด็นปัญหาดังนี้ ปัญหาด้านบุคลากร (3.85 จาก 5.00) สาเหตุหลักเกิดจากการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะและความรู้เฉพาะทางในการปฏิบัติงาน, ปัญหาด้านเครื่องจักร (3.83 จาก 5.00) สาเหตุหลักเกิดจากเครื่องจักรที่ล้าสมัย, ปัญหาด้านกระบวนการก่อสร้าง (3.78 จาก 5.00) สาเหตุหลักเกิดจากกระบวนการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพในการก่อสร้าง, ปัญหาด้านวัสดุ (3.77 จาก 5.00) สาเหตุหลักเกิดจากคุณภาพและแหล่งที่มาของวัสดุ และปัญหาด้านสภาพแวดล้อม (3.75 จาก 5.00) สาเหตุหลักเกิดจากผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศและธรรมชาติ ผลการวิจัยได้แสดงให้เห็นถึงสาเหตุและแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน ซึ่งผู้เกี่ยวข้องและผู้ที่สนใจสามารถนำผลที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการและบริหารงานก่อสร้างโครงการอื่น ๆ ต่อไป</p> อานนท์ นางสูงเนิน วิสูตร จิระดำเกิง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-30 2025-09-30 36 3 39 54 การศึกษาเปรียบเทียบความร้อนผ่านฝ้าเพดานระหว่างฝ้าเพดานสองชั้นที่มีการระบายอากาศและฝ้าเพดาน แบบมีฉนวน https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eit-researchjournal/article/view/258430 <p>บทความนี้ได้เสนอการศึกษาเปรียบเทียบการลดการถ่ายเทความร้อนผ่านฝ้าเพดานเข้าสู่ภายในบ้านทดสอบระหว่างบ้านทดสอบติดตั้งฉนวนกันความร้อนบนฝ้าเพดานกับบ้านทดสอบติดตั้งฝ้าเพดานสองชั้นที่มีการระบายอากาศ หลังคาบ้านทดสอบเป็นหลังคาทรงเพิงหมาแหงน โดยมีมุมลาดเอียงของหลังคาประมาณ 25 องศา และมีปริมาตรห้องใต้หลังคาและห้องทดสอบอยู่ที่ 0.3 m<sup>3</sup> และ 1.2 m<sup>3</sup> ตามลำดับ ความต้านทานความร้อนรวมของบ้านทดสอบติดตั้งฉนวนกันความร้อนบนฝ้าและบ้านทดสอบติดตั้งฝ้าเพดานสองชั้นที่มีการระบายอากาศมีค่าเท่ากันเพื่อกำหนดค่าความต้านทานความร้อนเนื่องจากการระบายอากาศผ่านฝ้าเพดานสองชั้น ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าบ้านทดสอบติดตั้งฝ้าเพดานสองชั้นที่มีการระบายอากาศมีอุณหภูมิภายในห้องต่ำกว่าบ้านทดสอบติดตั้งฉนวนกันความร้อนบนฝ้าเพดาน 1.5°C ภาพถ่ายความร้อนแสดงอุณหภูมิผิวด้านล่างของฝ้าเพดาน (ด้านห้อง) ของบ้านทดสอบติดตั้งฝ้าเพดานสองชั้นที่มีการระบายอากาศมีค่าต่ำกว่าบ้านทดสอบติดตั้งฉนวนกันความร้อนบนฝ้าเพดานโดยประมาณ 1.2°C กล่าวโดยสรุปหน้าที่ของฝ้าเพดานสองชั้นที่มีการระบายอากาศ คือ ลดการถ่ายเทความร้อนที่เข้ามาจากฝ้าเพดานและช่วยให้เกิดการระบายอากาศผ่านตัวบ้านทดสอบซึ่งจะทำให้เกิดความสบายเชิงอุณหภาพภายในบ้าน</p> องอาจ อุดมศิริ วิทยา พวงสมบัติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-30 2025-09-30 36 3 55 65 การพยากรณ์ความต้องการสั่งซื้อและการจัดการสินค้าคงคลังสมัยใหม่ กรณีศึกษาบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eit-researchjournal/article/view/257937 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าคงคลังของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนที่นั่งเด็ก โดยเริ่มต้นจากการนำข้อมูลสต็อกสินค้าและปริมาณการขายที่ผ่านมามาใช้ในการพยากรณ์ความต้องการด้วยวิธี ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) และจากการเปรียบเทียบระหว่างแบบ 4 เดือนและ 6 เดือน พบว่า วิธีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ 6 เดือน ให้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการวางแผนการสั่งซื้อ จากนั้นจึงได้ประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ ABC (ABC Analysis) เพื่อจัดกลุ่มอะไหล่และชิ้นส่วนทั้งหมดตามมูลค่าและปริมาณการใช้งาน พบว่าสินค้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม A จำนวน 3 รายการ (รหัส N005, N001, N009) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 39.96 ของปริมาณการใช้และมีมูลค่าสินค้าคงคลังสูงถึงร้อยละ 73.11, กลุ่ม B จำนวน 2 รายการ (รหัส N007, N0012) คิดเป็นร้อยละ 36.53 ของปริมาณการใช้และมีมูลค่าร้อยละ 13.68, และกลุ่ม C จำนวน 9 รายการ (รหัส N0011, N0014, N002, N0013, N003, N006, N004, N0010, N008) ที่มีสัดส่วนปริมาณการใช้ร้อยละ 23.52 และมูลค่าสินค้าคงคลังร้อยละ 13.21 ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การประยุกต์ใช้ทั้งสองเทคนิคนี้ร่วมกันสามารถช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการคลังสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการควบคุมดูแลสินค้ากลุ่ม A ซึ่งมีมูลค่าสูงอย่างใกล้ชิด จะช่วยลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นและเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ</p> วิรัลพัชร พรหมจรรย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-30 2025-09-30 36 3 67 77 การเพิ่มประสิทธิภาพการจำแนกโรคจากภาพใบข้าวโพดด้วยการประมวลผลภาพ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eit-researchjournal/article/view/259554 <p>การระบาดของโรคในข้าวโพดถือเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตและราคาทางการตลาดอย่างมีนัยสำคัญ การจำแนกชนิดของโรคได้อย่างถูกต้องและทันท่วงทีมีความสำคัญต่อการวางแผนจัดการของเกษตรกร ทั้งในด้านการป้องกันและการรักษา อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การจำแนกโรคด้วยตนเองอาจมีความคลาดเคลื่อนจากความเหนื่อยล้า หรือเนื่องจากอาการของโรคบางชนิดมีลักษณะคล้ายคลึงกัน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) จึงเป็นแนวทางที่สามารถลดภาระของเกษตรกรและเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยได้ แต่เนื่องจากอัลกอริทึมดั้งเดิมในบางกรณีอาจยังไม่สามารถจำแนกโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ งานวิจัยนี้จึงนำเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจำแนกโรคข้าวโพดจากภาพถ่ายใบพืช โดยประยุกต์ใช้การประมวลผลภาพในระบบสี HSV ซึ่งมีความสามารถในการแยกเฉดสีที่เกี่ยวข้องกับอาการของโรคได้อย่างแม่นยำ ร่วมกับเทคนิคการเสริมข้อมูล (Data Augmentation) เพื่อเพิ่มความหลากหลายและสมดุลของข้อมูลระหว่างคลาส ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ของโมเดลโครงข่ายประสาทเทียมเชิงลึก (Deep Learning) ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า แนวทางที่นำเสนอสามารถเพิ่มค่าความถูกต้องเฉลี่ย (Accuracy) ในการจำแนกโรคได้ถึง 93.17 เมื่อเทียบกับวิธีดั้งเดิมซึ่งได้ค่าเท่ากับ 91.69%</p> กีระชาติ สุขสุทธิ์ รติพร จันทร์กลั่น เกตุกาญจน์ โพธิจิตติกานต์ พรภัสสร อ่อนเกิด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-30 2025-09-30 36 3 79 89