https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/issue/feed
วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม
2025-08-27T00:00:00+07:00
ดร.ธิติกานต์ บุญแข็ง
engj_assistant@ubu.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม (Journal of Engineering and Innovation) เป็นวารสารวิชาการที่ได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานและงบประมาณจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยดำเนินงานผ่านกองบรรณาธิการ ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ของวิศวกรรมศาสตร์จากทั้งภายในและภายนอกสถาบัน</p> <p>วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม ตีพิมพ์บทความที่ผ่านการประเมินจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (peer review) (จำนวนอย่างน้อย 3 คน) จากหลากหลายสถาบัน ตามแนวทางของประกาศ ก.พ.อ. โดยอยู่ในรูปแบบ <span style="color: blue;">single-blind peer review</span> โดยตีพิมพ์ปีละ 4 ฉบับ</p> <p>- ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคม-มีนาคม </p> <p>- ฉบับที่ 2 ประจำเดือนเมษายน-มิถุนายน</p> <p>- ฉบับที่ 3 ประจำเดือนกรกฎาคม-กันยายน </p> <p>- ฉบับที่ 4 ประจำเดือนตุลาคม-ธันวาคม</p> <p>วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม อยู่ใน<span style="color: blue;">ฐานข้อมูล Thai-Journal Citation Index (TCI) กลุ่มที่ 2</span> (พ.ศ. 2568)<br />- ค่า Thai-Journal Impact Factor (T-JIF): <span style="color: blue;">0.105</span></p> <p><span style="color: blue;">** วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม มีอัตราค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์บทความ ในอัตรา 1,000 บาท/เรื่อง โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวเมื่อเข้าสู่กระบวนการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Processing fees) ซึ่งการเก็บค่าธรรมเนียมจะมีผลบังคับใช้สำหรับบทความที่ส่งมาตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2565 เป็นต้นไป **</span></p>
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/article/view/250120
ผลของลักษณะฟองอากาศต่อกำลังรับแรงอัดของคอนกรีตมวลเบาแบบเติมฟองอากาศ
2024-10-01T16:21:08+07:00
แก้วตา ดียิ่งศิริกุล
k.deeying@gmail.com
เกรียงศักดิ์ แก้วกุลชัย
griengsak@gmail.com
<p class="AbstractKeywordstext">คอนกรีตมวลเบาแบบเติมฟองอากาศเป็นคอนกรีตที่มีส่วนผสมของฟองอากาศ ซึ่งเกิดจากการเติมโฟมเหลวที่กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอในเนื้อคอนกรีตแทนการใช้หินหรือมวลรวมหยาบ โดยคุณสมบัติพื้นฐานของคอนกรีตมวลเบาแบบเติมฟองอากาศ จะเปลี่ยนแปลงไปตามค่าความหนาแน่นหรือปริมาณฟองอากาศที่เติมเข้าไป เมื่อคอนกรีตแข็งตัวจะเกิดรูพรุนมีลักษณะเป็นโพรงอากาศในเนื้อคอนกรีต ซึ่งส่งผลต่อสมบัติด้านกำลัง ความทนทาน และ ค่าการนำความร้อน งานวิจัยนี้นำเสนอผลของชนิดสารสร้างฟองโฟมที่มีต่อขนาดฟองอากาศในคอนกรีตมวลเบา<br />แบบเติมฟองอากาศที่ความหนาแน่นเปียก 1,800 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร อัตราส่วนทรายต่อซีเมนต์เท่ากับ 2:1 อัตราส่วนน้ำต่อซีเมนต์เท่ากับ 0.65 โดยใช้สารสร้างฟองโฟม 2 ชนิด อัตราส่วนสารสร้างฟอง โฟมต่อน้ำเท่ากับ 1:20, 1:30 และ 1:40 และแรงดันขณะที่ฉีดฟองโฟมอยู่ที่ 4.5, 5.0 และ 5.5 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร บ่มตัวอย่างในอากาศ 28 วัน พบว่าเมื่อความพรุนเพิ่มขึ้น ขนาดฟองอากาศที่ D90 และ<br />ความกว้างของการกระจายขนาดฟองอากาศมีค่าเพิ่มขึ้นส่งผลให้กำลังรับแรงอัดมีแนวโน้มลดลง ค่า SPAN (Sp) ใช้เป็นตัวบ่งชี้ความแตกต่างของการ กระจายขนาดของฟองอากาศ ซึ่งค่า Sp ที่สูงขึ้นส่งผลให้กำลังรับแรงอัดในคอนกรีตมวลเบาแบบเติมฟองอากาศลดลง</p>
2025-08-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/article/view/251740
การพัฒนาระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์สำหรับบริหารจัดการข้อมูลเล่มปริญญานิพนธ์นักศึกษาโดยประยุกต์ใช้กูเกิลดาต้าสตูดิโอ
2024-07-19T11:58:45+07:00
อภิชล ทองมั่ง กำเนิดว้ำ
apichon.tk@rmutsv.ac.th
สุรสิทธิ์ ระวังวงศ์
Apichon.tk@rmutsv.ac.th
ชาตรี หอมเขียว
Apichon.tk@rmutsv.ac.th
ยุทธนา สุวรรณปักษ์
Apichon.tk@rmutsv.ac.th
กฤติน กูลแก้ว
Apichon.tk@rmutsv.ac.th
<p class="AbstractKeywordstext"><span lang="TH">ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน องค์กรต่าง ๆ กำลังเปลี่ยนจากการจัดการเอกสารแบบกระดาษเป็นระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและสร้างระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์สำหรับบริหารจัดการข้อมูลเล่มปริญญานิพนธ์นักศึกษา หลักสูตรสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการโดยประยุกต์ใช้กูเกิลดาต้าสตูดิโอ ที่จะดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลมาสร้างเป็นแดชบอร์ดให้สามารถแสดงรายละเอียดทั้งหมดได้ในที่เดียว โดยมีลักษณะการรายงานข้อมูลในรูปแบบรูปภาพ ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลพบว่า ปัจจุบันทางหลักสูตรสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการมีพื้นที่ในการจัดเก็บเล่มปริญญานิพนธ์ของนักศึกษาอย่างจำกัด และมีระบบการจัดเก็บยังไม่เหมาะสมมากนัก อีกทั้งยังยุ่งยากและมีการใช้เวลานานในการสืบค้นข้อมูล จึงได้เสนอแนะแนวทางการปรับปรุงแก้ไขโดยนำตัวอย่างเล่มปริญญานิพนธ์ของนักศึกษา ปีการศึกษา 2561 ถึง 2565 มาสร้างระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์สำหรับบริหารจัดการข้อมูลเล่มปริญญานิพนธ์ โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างโปรแกรมไมโครซอฟท์เอกซ์เซลที่เชื่อมโยงไปยังกูเกิลดาต้าสตูดิโอ ซึ่งเป็นการนำซอฟต์แวร์มาใช้ในการจัดเก็บและสืบค้นข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า หลังจากการปรับปรุงการจัดเก็บและการสืบค้นข้อมูลเล่มปริญญานิพนธ์จากรูปแบบเดิมไปเป็นรูปแบบใหม่ในลักษณะของระบบออนไลน์ สามารถช่วยลดระยะเวลาในการสืบค้นหาข้อมูลปริญญานิพนธ์ลงได้ จากรูปแบบเดิมที่มีเวลาเฉลี่ยในการสืบค้น 192 วินาทีต่อเล่ม ลดมาเป็น </span>36.5<span lang="TH"> วินาทีต่อเล่ม คิดเป็นร้อยละ </span>80.99<span lang="TH"> ของเวลาที่ลดลง นอกจากนี้ จากการประเมินความพึงพอใจในการทดลองใช้ระบบกับกลุ่มตัวอย่าง พบว่าการใช้งานระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์มีค่าความพึงพอใจอยู่ในระดับพอใจมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.27 ซึ่งระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์สำหรับบริหารจัดการข้อมูลเล่มปริญญานิพนธ์นักศึกษานี้ สามารถนำมาใช้ในการบริหารจัดการเล่มปริญญานิพนธ์และเป็นต้นแบบในการนำไปต่อยอดเพื่อปรับปรุงและพัฒนาต่อไป</span></p>
2025-08-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/article/view/257064
การจัดลำดับความเสี่ยงที่ส่งผลต่อปริมาณสินค้าคงคลังสำรองที่เหมาะสมด้วยกระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับขั้น กรณีศึกษา โรงงานผลิตผ้าเบรก
2024-12-30T00:17:37+07:00
ศศิกานต์ กล่อมวัฒนกุล
sasikarn.klom@gmail.com
นพคุณ แสงเขียว
Meja.noppakun@gmail.com
พีรภพ จอมทอง
peerapop_jomthong@hotmail.com
<p>งานวิจัยฉบับนี้เป็นการจัดลำดับความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณสินค้าคงคลังสำรองที่เหมาะสมโดยใช้กระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับขั้น เพื่อประเมินน้ำหนักของความเสี่ยงแต่ละด้านในการจัดการปริมาณสินค้าคงคลังสำรองให้เหมาะสม วัตถุประสงค์หลักของงานวิจัยคือ (1) เพื่อศึกษาความเสี่ยงที่ส่งผลต่อปริมาณสินค้าคงคลังสำรอง และ (2) เพื่อจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบ โดยผลการวิจัยที่ถูกรวบรวมผ่านแบบสอบถามจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการจัดการวัตถุดิบเคมีในโรงงาน พบว่า ความเสี่ยงด้านคุณภาพของวัตถุดิบมีผลกระทบสูงสุดต่อปริมาณสินค้าคงคลังสำรอง คิดเป็นร้อยละ 29.25 รองลงมาคือความเสี่ยงด้านความสำคัญของวัตถุดิบ คิดเป็นร้อยละ 23.12 และความเสี่ยงด้านราคา คิดเป็นร้อยละ 14.03 เป็นความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณสินค้าคงคลังสำรองมากที่สุดจากทั้งหมด 7 ด้าน ซึ่งข้อจำกัดการศึกษานี้คือการมุ่งเน้นเฉพาะวัตถุดิบเคมีในโรงงานกรณีศึกษา อาจไม่ครอบคลุมถึงวัตถุดิบอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการวางแผนและปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลังวัตถุดิบเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบและส่งเสริมการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p>
2025-08-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/article/view/256320
การพัฒนาสารเคลือบเซรามิกจากวัสดุของเสีย: แคลเซียมคาร์บอเนต และ เศษแก้ว
2025-01-19T12:20:13+07:00
วิษณุ เลิศจันทรางกูร
witsanu.l@fte.kmutnb.ac.th
ชลธิศ ปิติภูมิสุขสันต์
witsanu.l@fte.kmutnb.ac.th
สุทธินี แก้วกระจก
witsanu.l@fte.kmutnb.ac.th
ภาณุพงศ์ โล่ห์ทองคำ
witsanu.l@fte.kmutnb.ac.th
อุบลรัตน์ หวังรักษ์ดีสกุล
witsanu.l@fte.kmutnb.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสารเคลือบเซรามิกจากวัสดุของเสียของภาคอุตสาหกรรม วัสดุของเสียสำคัญที่ใช้ 3 ชนิด คือ เศษแก้วสีเขียว เศษแก้วใส และแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งเศษแก้วใช้เพื่อลดอุณหภูมิในการเผาเคลือบ ส่วนแคลเซียมคาร์บอเนตเป็น ผลิตภัณฑ์พลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาล นอกจากนี้ยังใช้หินฟันม้าเพื่อเปรียบเทียบกับเศษแก้วในการลดอุณหภูมิในการเผาเคลือบ และยังผสมดินขาวท้องถิ่น ในสูตรเคลือบเพื่อช่วยในการยึดเกาะกับผิวหน้ากระเบื้องด้วย โดยทำการพัฒนาสูตรการทดลองจำนวน 32 สูตร สำหรับการทดลองเบื้องต้น ขึ้นรูปโดยการปั้นให้เป็นรูปโคน ทำการเผาที่อุณหภูมิ 1,100 องศาเซลเซียส และ 1,150 องศาเซลเซียส อัตราการเพิ่มอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสต่อชั่วโมง และคงอุณหภูมิเป็นเวลา 1 ชั่วโมง หลังการเผา พบว่า มี 10 สูตรที่หลอมตัวได้ดี และนำไปพัฒนาต่อ โดยการเพิ่มแคลเซียมคาร์บอเนตอีกครั้ง ในอัตราร้อยละ 8.33, 7.70, 12.00, 11.11, 15.38 และ 14.28 โดยน้ำหนัก แล้วทำการเผาที่อุณหภูมิเหมือนการทดลองเบื้องต้น หลังจากนั้นทำการทดสอบคุณสมบัติชิ้นงานหลังเผา ประกอบด้วยความสามารถในการไหลตัว และสัมประสิทธิ์การขยายตัวเนื่องจากความร้อน พบว่า อุณหภูมิที่เหมาะสม คือ 1,100 องศาเซลเซียส และสูตรการทดลองที่มีการไหลตัวดี คือ 1B, 2B และ 5B ทำการทดสอบสัมประสิทธิ์การขยายตัวเนื่องจากความร้อนของทั้ง 3 สูตร และของดินอ่างทองที่เป็นกระเบื้อง ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัวของสูตรเคลือบทั้งหมด มีค่าใกล้เคียงกับของดินอ่างทอง ซึ่งสรุปได้ว่าสูตรที่เหมาะสม สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการผลิตเป็นสารเคลือบบนกระเบื้องดินอ่างทอง คือ สูตร 1B มีส่วนประกอบ แก้วใส ดินขาวท้องถิ่น และแคลเซียมคาร์บอเนต ร้อยละ 80, 8 และ 12 โดยน้ำหนัก ตามลำดับ และสูตร 2B ประกอบด้วย แก้วเขียว ดินขาวท้องถิ่น และแคลเซียมคาร์บอเนต ร้อยละ 80, 8 และ 12 โดยน้ำหนัก ตามลำดับ</p>
2025-08-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/article/view/257005
การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันเพื่อจัดการการจราจรในช่วงเทศกาลไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม
2025-01-14T12:40:53+07:00
กฤชณัท รวมบุญ
chalermchat.t@npu.ac.th
เฉลิมชาติ ธีระวิริยะ
chalermchat.t@npu.ac.th
<p class="AbstractKeywordstextCxSpFirst"><span lang="TH">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันสำหรับจัดการการจราจรในงานประเพณีไหลเรือไฟ 2) ประเมินประสิทธิภาพของเว็บแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น และ 3) ศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ซึ่งประเพณีไหลเรือไฟเป็นเทศกาลที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่การเติบโตทางการท่องเที่ยวได้สร้างความท้าทายในการจัดการจราจรในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูง การทบทวนงานวิจัยที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีการใช้เทคโนโลยีในการจัดการการจราจร แต่ยังไม่มีการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่เหมาะสมสำหรับการจัดการจราจรในงานเทศกาลที่มีลักษณะการเดินทางซับซ้อนและพื้นที่จำกัด ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงเติมเต็มช่องว่างนี้โดยการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่มี 3 ส่วนหลัก ได้แก่ จุดจอดรถ จุดชมเรือไฟ และบริการรถรับจ้าง ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกจุดจอดรถที่สะดวก เชื่อมโยงเส้นทางไปยังจุดชมเรือไฟ และเลือกใช้บริการรถรับจ้างได้อย่างรวดเร็ว </span><span lang="TH">ผลการประเมินประสิทธิภาพของระบบ พบว่าเว็บแอปพลิเคชันมีความแม่นยำในการแสดงเส้นทางและข้อมูลจราจรแบบเรียลไทม์ สามารถรองรับการใช้งานจากผู้ใช้จำนวนมากได้อย่างราบรื่น การประเมินความพึงพอใจจากผู้ใช้งานรวมทุกด้านแสดงให้เห็นถึงระดับความพึงพอใจมาก (คะแนน 4.12) โดยผู้ใช้งานระบุว่าเว็บแอปพลิเคชันช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง ลดปัญหาการจราจรติดขัด และช่วยให้การวางแผนการเดินทางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้งานยังแสดงความพึงพอใจในด้านความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลและการใช้งานระบบที่ใช้งานง่าย </span><span lang="TH">งานวิจัยนี้มีความสำคัญในแง่ของการสร้างโมเดลเว็บแอปพลิเคชันที่สามารถประยุกต์ใช้ในการจัดการการจราจรในงานเทศกาลหรือกิจกรรมขนาดใหญ่ที่มีการจราจรซับซ้อนและจำนวนผู้เข้าร่วมมาก ซึ่งสามารถนำไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีลักษณะการจราจรคล้ายคลึงกันได้ในอนาคต นอกจากนี้ การจัดการจราจรที่มีประสิทธิภาพยังมีความสำคัญต่อการลดมลพิษที่เกิดจากการจราจรติดขัด และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างสังคมที่ยั่งยืนมากขึ้น</span></p>
2025-09-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/article/view/257141
ผลกระทบของเส้นใยอิเลคทรอนิกส์ต่อสมบัติของมอร์ตาร์ไหลอัดแน่นด้วยตัวเองผสมร่วมเศษแก้วแทนที่มวลรวมละเอียด
2025-01-14T13:09:15+07:00
จุฑาทิพย์ รูปแฉล้ม
gritsada.s@rmutp.ac.th
บุรฉัตร ฉัตรวีระ
gritsada.s@rmutp.ac.th
กฤษดา เสือเอี่ยม
gritsada.s@rmutp.ac.th
<p>อุตสาหกรรมการก่อสร้างกำลังเปลี่ยนเข้าสู่แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนโดยความพยายามนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การศึกษานี้นำเสนอการพัฒนามอร์ตาร์ไหลอัดแน่นด้วยตัวเองรักษ์โลก (Green self-compacting mortar) โดยใช้เส้นใยจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ เศษแก้วรีไซเคิลและวัสดุทดแทนปูนซีเมนต์ (แคลเซียมคาร์บอเนตและซิลิก้าฟูม) ประเมินผลกระทบของวัสดุเหล่านี้ต่อความสามารถในการไหล สมบัติเชิงกลและความทนทาน ส่วนผสมมอร์ตาร์ไหลอัดแน่นด้วยตัวเองจำนวนสิบห้ารูปแบบถูกเตรียมด้วยการผสมร่วมเส้นใยจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ 0–15% การแทนที่ทรายด้วยเศษแก้วรีไซเคิล 0–50% และการแทนที่ปูนซีเมนต์ 10% (5% แคลเซียมคาร์บอเนตและ 5% ซิลิกาฟูม) การประเมินความสามารถในการไหลผ่านด้วยการทดสอบ mini slump flow และ V-funnel ในขณะที่กำลังอัดและกำลังดัดทำการทดสอบที่อายุ 7, 28, และ 91 วัน รวมถึงการทดสอบความทนทาน ได้แก่ การดูดกลืนน้ำและการต้านทานซัลเฟต ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่ามอร์ต้าร์ที่ผสมร่วมเส้นใยจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ 5% ให้ประสิทธิภาพดีที่สุด โดยมีกำลังอัดและกำลังดัดที่อายุ 91 วัน เท่ากับ 51.63 MPa และ 5.26 MPa ตามลำดับ การแทนที่ปูนซีเมนต์ช่วยปรับปรุงความหนาแน่นของเมทริกซ์ช่วยลดการดูดซึมน้ำลงเหลือ 2.38% และเพิ่มความต้านทานต่อซัลเฟตด้วยการสูญเสียน้ำหนักเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเมื่อปริมาณเส้นใยเพิ่มสูงขึ้น (10% และ 15%) และการแทนที่ทรายด้วยเศษแก้ว 50% ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสมบัติของมอร์ตาร์เนื่องจากความพรุนที่เพิ่มขึ้น การผสมผสานระหว่างเส้นใยจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ 5%, การแทนที่ซีเมนต์ 10%, และการแทนที่ทรายด้วยเศษแก้ว 25% เป็นส่วนผสมที่แนะนำจากผลการศึกษาเนื่องจากให้มอร์ตาร์ไหลอัดแน่นด้วยตัวเองที่มีสมบัติที่สมดุลและยั่งยืน จากการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการใช้วัสดุรีไซเคิลเพื่อผลิตมอร์ต้าร์สมรรถนะสูงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม</p>
2025-09-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/article/view/255570
การพัฒนาเครื่องกะเทาะเมล็ดยางพาราโดยอาศัยหลักการหมุนเหวี่ยงแบบกรวยหิน
2024-10-16T10:50:40+07:00
ยงยุทธ์ เสียงดัง
yongyuth@rmuti.ac.th
จันทนา สันทัดพร้อม
thayawee@rmuti.ac.th
มงคลชัย คำปากดี
thayawee@rmuti.ac.th
อนุชิต ฉ่ำสิงห์
thayawee@rmuti.ac.th
ทยาวีร์ หนูบุญ
thayawee@rmuti.ac.th
<p>งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเครื่องกะเทาะเมล็ดยางพาราโดยอาศัยหลักการหมุนเหวี่ยงแบบกรวยหิน วิธีการศึกษาประกอบด้วยการออกแบบ สร้าง ทดสอบเพื่อหาปัจจัยการทำงานที่เหมาะสม เครื่องกะเทาะเมล็ดยางพาราประกอบด้วย ชุดกะเทาะและชุดคัดแยก ชุดกะเทาะมีลักษณะเป็นกรวยหิน 2 อันทั้งด้านบนและด้านล่าง ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 220 โวล์ล ขนาด 1 แรงม้าเป็นต้นกำลัง ชุดคัดแยกใช้ลมเป็นตัวคัดแยกและใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 220 โวล์ล ขนาด 1/4 แรงม้าเป็นต้นกำลัง โดยได้ทดสอบหาระยะห่างหัวกะเทาะ มุมเอียงของหัวกะเทาะ ความเร็วรอบของเพลาหัวกะเทาะและความเร็วลมในการคัดแยกที่เหมาะสม พบว่าเครื่องกะเทาะสามารถกะเทาะเมล็ดยางพาราที่มีขนาดเมล็ดพร้อมเปลือก กว้างxยาวxหนา คือ 21.02x23.35x16.25 mm. และขนาดเมล็ดในคือ 15.70x19.20x12.75 mm. ระยะห่างหัวกะเทาะ 17 mm. มุมเอียงของหัวกะเทาะ 30 องศา และความเร็วรอบของเพลาหัวกะเทาะ 90 110 และ 130 รอบต่อนาที จะมีประสิทธิภาพการกะเทาะสูงสุดเท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์ สำหรับระยะห่างหัวกะเทาะ 19 mm. มุมเอียงของหัวกะเทาะ 60 องศา และความเร็วรอบของเพลาหัวกะเทาะ 90 รอบต่อนาที มีประสิทธิผลการกะเทาะสูงสุดเท่ากับ 88 เปอร์เซ็นต์ ส่วนความเร็วลมที่ 7.5 เมตรต่อวินาที จะให้ประสิทธิผลการคัดแยกสูงสุดเท่ากับ 62.44 เปอร์เซ็นต์ เครื่องกะเทาะนี้มีความสามารถในการกะเทาะ 60 กิโลกรัมต่อชั่วโมง เมล็ดยางพารามีน้ำมันประมาณ 50% ซึ่งสามารถสกัดไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น เป็นส่วนผสมในการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก เชื้อเพลิง อาหารสัตว์ เป็นต้น</p>
2025-09-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/article/view/257986
การหาปัจจัยที่เหมาะสมของการขึ้นรูปภาชนะจากใบสับปะรดด้วยเทคนิคการออกแบบ การทดลองแฟคทอเรียลเต็มรูป
2025-04-27T17:33:54+07:00
กนกพร รัตนวัน
anawin@rmutl.ac.th
อนาวิล ทิพย์บุญราช
anawin@rmutl.ac.th
รัชนีวรรณ สันลาด
anawin@rmutl.ac.th
ศิวศิษฏ์ ปิจมิตร
anawin@rmutl.ac.th
นทีทิพย์ สวัสดิ์รักษา
anawin@rmutl.ac.th
ศุภกรณ์ บัวเพ็ง
anawin@rmutl.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาปัจจัยที่เหมาะสมสำหรับการขึ้นรูปภาชนะจากใบสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย โดยใช้การออกแบบการทดลอง 2<sup>3 </sup>แฟคทอเรียลเต็มรูป และการทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพ คือ การรั่วซึมน้ำ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้กำหนดอัตราส่วนที่แน่ชัด ในกระบวนการทดลอง ได้ศึกษาปัจจัยทั้งหมด 3 ปัจจัย ที่ส่งผลต่อการขึ้นรูป ได้แก่ อัตราส่วนของเส้นใยใบสับปะรดต่อสารเชื่อมประสาน อุณหภูมิ และแรงดันในการขึ้นรูป แต่ละปัจจัยมีจำนวน 2 ระดับ ทำการทดลองซ้ำ 3 ครั้ง ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 โดยใช้โปรแกรม Minitab ในการวางแผนการทดลองและวิเคราะห์ผล เพื่อศึกษาผลกระทบจาก 3 ปัจจัยหลัก และหาผลกระทบหลัก ผลกระทบร่วม เพื่อยืนยันผลความมีนัยสำคัญของปัจจัย จากการทดลองพบว่า ปัจจัยที่เหมาะสมที่สุดในการขึ้นรูปภาชนะจากใบสับปะรด คือ อัตราส่วนของเส้นใยใบสับปะรดต่อสารเชื่อมประสาน 1:1 อุณหภูมิ 130 องศาเซลเซียส แรงดัน 8 บาร์ และมีค่าต้านการรั่วซึมน้ำได้ดีที่สุด ปัจจัยที่มีผลต่อการรั่วซึมน้ำ ได้แก่ อัตราส่วนของเส้นใยใบสับปะรดต่อสารเชื่อมประสาน (A) และผลกระทบร่วมระหว่างอุณหภูมิ (B) และแรงดัน (C) เป็นปัจจัยที่มีนัยสำคัญทางสถิติตามลำดับ สามารถสร้างแบบจำลองถดถอยที่ลดรูปของ เท่ากับ 89.58 + 59.42 A – 13.00 B + 13.83 C – 28.08 B×C ผลของค่า R<sup>2</sup> มีค่าเท่ากับ 73.11% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสมการถดถอยดังกล่าวสามารถอธิบายความแปรปรวนของข้อมูลได้ในระดับที่น่าพอใจ</p>
2025-09-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/article/view/256154
การรู้คิดต่อเป้าประสงค์ของการปฏิบัติงานล่วงเวลาในโครงการก่อสร้าง: กรณีศึกษาโครงการก่อสร้างกลุ่มอาคารชุดพักอาศัย
2025-05-25T14:32:46+07:00
พิเชษฐ์ สุขเสกสรรค์
pichet.s@itm.kmutnb.ac.th
<p>การปฏิบัติงานล่วงเวลาสามารถนํามาใช้กับสถานการณ์ที่โครงการก่อสร้างจำเป็นต้องเร่งรัดการดำเนินงาน โดยผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานสามารถมีผลจากการรู้คิดของผู้ปฏิบัติงาน การศึกษานี้มุ่งสํารวจทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานกลุ่มผู้มอบหมายงานล่วงเวลาและกลุ่มผู้ปฏิบัติงานล่วงเวลาในโครงการเพื่อประเมินความคิดเห็นที่มีต่อเป้าประสงค์ในการกําหนดให้มีการปฏิบัติงานล่วงเวลาในโครงการก่อสร้างกลุ่มอาคารชุดพักอาศัยกรณีศึกษา ทั้งเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติงานแต่ละกลุ่มโดยใช้ค่าสถิติทดสอบ Mann-Whitney U ซึ่งการทดสอบสามารถสะท้อนถึงการรู้คิดที่กลุ่มผู้ปฏิบัติงานล่วงเวลาพึงมีต่อเป้าประสงค์ในการปฏิบัติงานดังกล่าว ผลทดสอบทางสถิติพบ 10 ใน 12 เป้าประสงค์ที่ผู้ปฏิบัติงานทั้ง 2 กลุ่มมีความคิดเห็นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 โดยมีความคิดเห็นในเป้าประสงค์เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบและประเมินสมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานที่มีความไม่สอดคล้องกัน ผลการอภิปรายสรุปได้ว่าผู้ปฏิบัติงานล่วงเวลามีการรู้คิดสอดคล้องกับผู้มอบหมายงานล่วงเวลาที่ว่าโครงการพึงได้ประโยชน์จากทางเลือกนี้ โดยสามารถนํามาใช้เพื่อรับมือกรณีโครงการมีความไม่พร้อมด้านทรัพยากร ปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว และจัดการและบริหารโครงการและหน่วยปฏิบัติงาน โดยการรู้คิดที่ผู้ปฏิบัติงานมีพึงทำให้การดำเนินโครงการของผู้บริหารหรือหน่วยงานที่อาจต้องกำหนดให้มีงานล่วงเวลาสามารถเลือกใช้แนวทางนี้อย่างมั่นใจผ่านการสื่อสารที่ชัดเจนกับผู้ปฏิบัติงาน</p>
2025-09-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/article/view/256654
แบบจำลองทางคณิตศาสตร์สำหรับการวางแผนการผลิต กรณีศึกษาโรงงานผลิตแป้งสาลีสำหรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
2024-12-12T16:09:02+07:00
เชฎฐา ชำนาญหล่อ
chettha@eng.src.ku.ac.th
จันจิรา คงชื่นใจ
janjira_k@eng.src.ku.ac.th
บุษกร โพธิ์รัตน์
butsakon.porat@gmail.com
ปริญาวรรณ ผาตินาวิน
priyawan.ph@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้ศึกษาการวางแผนการผลิตรวมสำหรับการผลิตแป้งสาลีเพื่อต้องการให้ต้นทุนโดยรวมต่ำที่สุด โดยใช้เทคนิคการพยากรณ์ 4 วิธี คือ ค่าพยากรณ์ถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ถ่วงน้ำหนัก ค่าถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย การพยากรณ์ยอดขายโดยวิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพเนนเชียลที่ และการพยากรณ์ยอดขายโดยวิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพเนนเชียล 2 ครั้ง ที่ พร้อมทั้งหาค่าเฉลี่ยของความเบี่ยงเบนสมบูรณ์ ค่าเฉลี่ยความคลาดเคลื่อนกำลังสองและค่าร้อยละความคลาดเคลื่อนสมบูรณ์โดยเฉลี่ย พบว่าวิธีการพยากรณ์ยอดขายในปี 2565 และ 2566 โดยวิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพเนนเชียล ที่ และ เป็นวิธีการที่เหมาะสมตามลำดับ ในส่วนของการวางแผนการผลิตรวมใช้วิธีทางฮิวริสติกส์ (Heuristics) 3 กลยุทธ์ คือ กลยุทธ์การผลิตสม่ำเสมอ กลยุทธ์การไล่ติดความต้องการ และกลยุทธ์แบบผสม นอกจากนี้ ทำการพัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ด้วยโปรแกรมกำหนดการเชิงเส้นในการวางแผนการผลิตและหาคำตอบโดยใช้โปรแกรม Microsoft Excel ซึ่งผลการดำเนินการพบว่าฟังก์ชั่น Solver สามารถคำนวณต้นทุนโดยรวมต่ำที่สุดตามที่ได้กำหนดในเงื่อนไข ซึ่งจากผลการคำนวณต้นทุนโดยรวมนั้นน้อยกว่าต้นทุนโดยรวมเมื่อเทียบกับข้อมูลจริงปี 2565 ค่าพยากรณ์ปี 2565 และค่าพยากรณ์ปี 2566 ลดลง 0.41% 0.77% และ 0.87% ตามลำดับ</p>
2025-09-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/eng_ubu/article/view/259872
พฤติกรรม โมเมนต์ดัด และแรงเฉือน ของคานคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีช่องเปิดวงกลม
2025-06-24T12:03:49+07:00
อิทธิพงศ์ พันธ์นิกุล
ittiphong.p@ubu.ac.th
เกรียงศักดิ์ แก้วกุลชัย
thanabhorn.t@ubu.ac.th
ธนภร ทวีวุฒิ
thanabhorn.t@ubu.ac.th
สหชัย แก่นอากาศ
thanabhorn.t@ubu.ac.th
<p>การออกแบบและศึกษาพฤติกรรมคานคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีช่องเปิด เป็นการวิจัยเพื่อสร้างเครื่องมือในการออกแบบเปรียบเทียบพฤติกรรมจริง ให้ทราบถึงกำลังที่ลดลงและลักษณะการวิบัติเมื่อมีการเจาะช่องเปิด โดยที่ขนาดไม่ใหญ่กว่าร้อยละ 40 ของความลึกคาน ในการวิจัยนี้ได้เลือกคาน 6 ตัวอย่างมีช่วงความยาว 3.00 เมตร ทดสอบรับน้ำหนัก ประกอบด้วยตัวอย่างที่ 1 คานตามมาตรฐาน ACI-318-11; ตัวอย่างที่ 2 คานตามมาตรฐาน ว.ส.ท.(2564); ตัวอย่างที่ 3 คานมีช่องเปิดรูปวงกลมเหนือแกนสะเทิน กรณีรับโมเมนต์ดัดล้วน; ตัวอย่างที่ 4 คานมีช่องเปิดรูปวงกลมใต้แกนสะเทิน กรณีรับโมเมนต์ดัดล้วน; ตัวอย่างที่ 5 คานมีช่องเปิดรูปวงกลมเหนือแกนสะเทิน กรณีรับโมเมนต์ดัดร่วมกับแรงเฉือน และ ตัวอย่างที่ 6 คานมีช่องเปิดรูปวงกลมใต้แกนสะเทิน กรณีรับโมเมนต์ดัดร่วมกับแรงเฉือน ซึ่งจากการวิจัยพบว่าคานที่มีช่องเปิดขนาดเล็กในตัวอย่างที่ 3 และ 4 สามารถรับน้ำหนักปลอดภัยถึงกำลังประลัย และมีลักษณะการแตกร้าวคล้ายกับคานตัวอย่างที่ 1 และ 2 ขณะที่คานตัวอย่างที่ 5 และ 6 ปลอดภัยถึงกำลังประลัยเช่นเดียวกัน แต่พบการแตกร้าวจากท้องคานทแยงเข้าสู่ศูนย์กลางของช่องเปิด</p>
2025-09-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และนวัตกรรม