https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/issue/feed
วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
2024-12-16T08:55:45+07:00
ผู้ช่วยศาสตรตราจารย์ ดร. ณัฐกานต์ พวงไพบูลย์
journalindus@srru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">ISSN 3027-6322 </span><span style="font-size: 0.875rem;">(Online)</span></p> <p>ISSN 3027-6314 <span style="font-size: 0.875rem;">(Print)</span></p> <p>กำหนดออก : 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p>มีวัตถุประสงค์ : เพื่อรวบรวม และเผยแพร่ ผลงานทางวิชาการ โดยตีพิมพ์บทความวิจัย และบทความทางวิชาการ ด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมศึกษา นวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม</p> <p>เจ้าของ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์</p>
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255382
การใช้เทคโนโลยีเครื่องขึ้นลำเส้นไหมแบบนับเส้นอัตโนมัติ เพื่อเสริมศักยภาพ กิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์ บ้านโพธิ์กอง ตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
2024-08-14T10:53:29+07:00
ศุภชัย แก้วจันทร์
supachai_2518@hotmail.co.th
สุมณฑา จีระมะกร
supachai_2518@hotmail.co.th
ขนิษฐา สีมา
supachai_2518@hotmail.co.th
<p>การวิจัยเรื่องการใช้เทคโนโลยีเครื่องขึ้นลำเส้นไหมแบบนับเส้นอัตโนมัติ เพื่อเสริมศักยภาพกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์ บ้านโพธิ์กอง ตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ พบว่า กิจกรรมการท่องเที่ยว จัดอยู่ในประเภทการท่องเที่ยว สาขาการท่องเที่ยวชุมชน มีเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น 10 ด้านได้แก่ 1) เป็นต้นกำเนิดของรำกะโน๊บติงต็อง หรือรำตั๊กแตนตำข้าว 2) ผ้าไหมทอจากเส้นไหมชั้นหนึ่งหรือไหมน้อย ที่มีความละเอียดปราณีต และได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหม OTOP 4 ดาว 3) เป็นหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ CIV โดยกระทรวงอุตสาหกรรม 4) มีหลักสูตรภาษาเขมรถิ่นไทย ที่ร่วมวิจัยกับมหาวิทยาลัยมหิดล และได้บรรจุอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนของท้องถิ่น 5) ได้รับรางวัลชุมชนดีเด่นด้านการส่งเสริม และรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยกระทรวงวัฒนธรรม 6) เป็นชุมชนวัฒนธรรมไทย-เขมร วิถีชีวิต ภาษา อาหาร และดนตรีกันตรึมพื้นบ้าน 7) มีกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ให้นักท่องเที่ยวได้ลงมือทำ ได้แก่ กิจกรรมทำผ้าบิดย้อมจากสีธรรมชาติ และกิจกรรมทำอาหารพื้นถิ่น 8) พิธีบายศรีสู่ขวัญแบบวัฒนธรรมไทยเขมรเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลก่อนเริ่มกิจกรรมการท่องเที่ยว 9) เชื่อมโยงกับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ปราสาทบ้านไพล เป็นศาสนาสถานในชุมชน 10) ได้รับรางวัล DASTA AWARD สาขาการท่องเที่ยวโดยชุมชน ในปี 2019 จัดโดย อพท. ชุมชนใช้เอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นมาเป็นฐานกิจกรรมการท่องเที่ยวรวมทั้งหมด 5 ฐานกิจกรรมได้แก่ 1) ฐานกิจกรรมการทำผ้าไหมบิดย้อมจากภูมิปัญญา 2) ฐานกิจกรรมการทำขนมพื้นบ้านอาหารพื้นถิ่น 3) ฐานกิจกรรมชมและร่วมการละเล่นพื้นบ้านการรำกะโน้บติงต็อง 4) ฐานกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาเขมรถิ่นไทย และ 5) ฐานกิจกรรมบ้านพักโฮมสเตย์ชุมชนโพธิ์กอง และมีการเสริมฐานกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเพิ่มช่องทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยวให้ชุ่มชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยการใช้เทคโนโลยีเครื่องขึ้นลำเส้นไหมแบบนับเส้นอัตโนมัติ เพื่อเสริมศักยภาพกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งสามารถสรุปเป็นต้นแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยการใช้เทคโนโลยีเครื่องขึ้นลำเส้นไหมแบบนับเส้นอัตโนมัติ เพื่อเสริมศักยภาพกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์</p> <p> ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการประเมินต้นแบบฐานกิจกรรมเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์ ในมิติของ ชื่อแหล่งท่องเที่ยวและที่ตั้ง ลักษณะของกิจกรรมการท่องเที่ยว การสะท้อนอัตลักษณ์ โอกาสการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยว และแนวทางการสร้างความผูกพันหรือความประทับใจ พบว่า ความคิดเห็นของชุมชนที่มีต่อ ต้นแบบฐานกิจกรรมเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์ บ้านโพธิ์กอง ตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.52, S.D. = 0.40) เมื่อพิจารณาจำแนกเป็น รายด้าน พบว่า ความคิดเห็นของชุมชนที่มีต่อ ต้นแบบฐานกิจกรรมเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์ บ้านโพธิ์กอง ตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ อยู่ในระดับมากที่สุด 3 ด้าน และอยู่ในระดับมาก 2 ด้าน โดยเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ 1) ด้านชื่อแหล่งท่องเที่ยวและที่ตั้ง ( = 4.67, S.D. = 0.47) 2) ด้านแนวทางการสร้างความผูกพันหรือความประทับใจ ( = 4.55, S.D. = 0.35) 3) ด้านลักษณะของกิจกรรมการท่องเที่ยว ( = 4.51, S.D. = 0.35) 4) ด้านโอกาสการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยว ( = 4.9, S.D. = 0.32) 5) ด้านการสะท้อนอัตลักษณ์ ( = 4.40, S.D. = 0.49) สรุปผลข้อเสนอแนะความคิดเห็นของชุมชน ที่มีต่อต้นแบบฐานกิจกรรมเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์ บ้านโพธิ์กอง ตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ตอนที่ 2 พบว่า ไม่มีผู้ให้ข้อเสนอแนะในด้านชื่อแหล่งท่องเที่ยวและที่ตั้ง ลักษณะของกิจกรรมการท่องเที่ยว การสะท้อนอัตลักษณ์ และ แนวทางการสร้างความผูกพันหรือความประทับใจ ส่วนด้านโอกาสการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยว มี 1 ข้อคือ 1) ควรมีรูปแบบการประชาสัมพันธ์กับชุมชนในทุกด้านทุกสื่อช่องทางเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงของนักท่องเที่ยว</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/254982
การประยุกต์ใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์และการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์พีจีเอสในการพัฒนาโซ่คุณค่าของกลุ่มเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ จังหวัดอุบลราชธานี
2024-09-02T13:52:55+07:00
พชร วารินสิทธิกุล
pachara.w@ubu.ac.th
ปดิวรดา ล้อมลาย
padivarada.l@ubu.ac.th
จริยา พันธา
pachara.w@ubu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์และการตรวจรับรองมาตรฐานอย่างมีส่วนร่วมของเกษตรกรด้วยระบบคิวอาร์โค้ด (ระบบ QR PGS) ในการพัฒนาโซ่คุณค่าที่เหมาะสมของเกษตรอินทรีย์มาตรฐานพีจีเอส จังหวัดอุบลราชธานี โดยวิธีดำเนินการวิจัยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยเกษตรกรสมาชิกเครือข่ายเกษตรอินทรีย์มาตรฐานพีจีเอส จำนวน 5 ราย และคณะกรรมการตรวจรับรองมาตรฐาน 5 ราย การเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านวิธีการการสนทนากลุ่มและการสังเกตการณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) และการวิเคราะห์เนื้อหา ซึ่งงานวิจัยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการของเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ 2) อบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบ QR PGS ให้กับกลุ่มตัวอย่างทั้งเกษตรกรและคณะกรรมการตรวจรับรองมาตรฐาน 3) ประยุกต์ใช้ระบบกับการทำงานในการทำงานจริง เช่น การตรวจแปลง และ 4) ประเมินความพึงพอใจต่อการประยุกต์ใช้ระบบ ซึ่งผลการวิจัยพบว่า เครือข่ายเกษตรอินทรีย์มาตรฐานจีพีเอส ประสบปัญหาการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพและการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การประยุกต์ใช้ระบบ QR PGS ช่วยให้เกษตรกรและคณะกรรมการตรวจรับรองมาตรฐานจัดการข้อมูลจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลความต้องการของผู้บริโภคเพื่อวางแผนการผลิต ลดระยะเวลาในการตรวจประเมินแปลงเกษตรกรเฉลี่ยจาก 1-3 วัน เหลือเพียง 3-6 ชั่วโมง และช่วยลดต้นทุนในการตรวจรับรองมาตรฐาน ซึ่งการที่ระบบสามารถช่วยเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกระดับเป็นการช่วยพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าที่เหมาะสมให้แก่เครือข่ายเกษตรอินทรีย์มาตรฐานพีจีเอส ผลการประยุกต์ใช้ทำให้เกษตรกรและคณะกรรมการตรวจรับรองมีความพึงพอใจต่อระบบในระดับสูง และเห็นว่าระบบนี้สามารถใช้เป็นมาตรฐานการรับรอง PGS ให้แก่เครือข่ายได้ในอนาคต โดยองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ได้จากงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ในการยกระดับระบบ PGS ไปสู่การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ที่ยั่งยืนในประเทศไทย</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255283
การเปลี่ยนแปลงสี ปริมาณน้ำตาล สารประกอบฟีนอลิก และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ของผงมะละกอที่ผ่านการหมักด้วยลูกแป้งข้าวหมาก
2024-09-11T10:07:23+07:00
ฐิติกร พรหมบรรจง
premjit.r@rmutsv.ac.th
บัณฑิตา ภู่ทรัพย์มี โปณะทอง
premjit.r@rmutsv.ac.th
สุวรรณา ผลใหม่
premjit.r@rmutsv.ac.th
จรินทร์ พูดงาม
premjit.r@rmutsv.ac.th
ศิริวรรณ ปานเมือง
premjit.r@rmutav.ac.th
สิริพงษ์ วงศ์พรประทีป
premjit.r@rmutsv.ac.th
วรวิทู มีสุข
premjit.r@rmutsv.ac.th
คมสัน นันทสุนทร
premjit.r@rmutav.ac.th
เปรมจิต รองสวัสดิ์
premjit.r@rmutsv.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงสี พีเอช ปริมาณสารประกอบฟีนอลิก และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของผงมะละกอหมักที่ผ่านการหมักด้วยลูกแป้งที่เวลาต่าง ๆ (0, 6, 12, 18 และ 24 ชั่วโมง). ผลการทดสอบพบว่าการหมักมะละกอที่เวลา 24 ชั่วโมง มีความแตกต่างจากระยะเวลาหมักอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ที่ความเชื่อมั่นร้อยละ 95 โดยมีค่าสีในระบบ L*a*b* เท่ากับ 64.22±0.04 (มีความสว่างสูงสุด), 16.10±0.08 (ค่าความเป็นสีแดงต่ำสุด) และ 27.14±0.02 (ค่าความเป็นสีเหลืองมากที่สุด) ตามลำดับ มีพีเอชเมื่อละลายน้ำเท่ากับ 4.59±0.02 มีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกเท่ากับ 0.63±0.10 มิลลิกรัม/กรัมน้ำหนักแห้ง ส่วนปริมาณน้ำตาลทั้งหมดมากที่สุดที่ระยะเวลาหมัก 18 ชั่วโมง โดยมีค่าเท่ากับ 252.80±65.03 มิลลิกรัม/กรัมน้ำหนักสด และน้ำตาลรีดิวซ์มีปริมาณต่ำสุดที่ระยะเวลาหมัก 12 ชั่วโมง โดยมีค่าเท่ากับ 28.26±3.24 มิลลิกรัม/กรัมน้ำหนักสด ส่วนฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อหมักที่ระยะเวลาต่าง ๆ โดยมีค่า IC<sub>50</sub> อยู่ในช่วง 1.25±0.40 -1.52±1.52±0.33 มิลลิกรัม/กรัมน้ำหนักแห้ง (IC<sub>50</sub> ของ BHT เท่ากับ 2.65±0.00 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร) งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นทางเลือกในการแปรรูปมะละกอสุก โดยใช้กระบวนการหมักซึ่งเป็นวิธีการแบบดั้งเดิม ซึ่งมีความจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในด้านองค์ประกอบทางเคมี เช่น การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของพรีไบโอติกหลังการหมัก และคุณสมบัติของอาหารหมักนี้ต่อระบบทางเดินอาหารต่อไป</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/254675
การพัฒนาความสามารถในการถ่ายภาพดิจิทัลด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักศึกษาระดับอุดมศึกษา
2024-07-01T09:39:25+07:00
เพ็ญนภา คำแพง
pennapa.k@ubru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผล (E.I) ของการถ่ายภาพดิจิทัลด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ 2) เพื่อศึกษาการคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนภาพดิจิทัลด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการถ่ายภาพดิจิทัลด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา การถ่ายภาพดิจิทัล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จำนวน 30 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ แบบทดสอบการคิดสร้างสรรค์ และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I) และการทดสอบโดยใช้สถิติ t-test ผลการวิจัยพบว่า (1) ดัชนีประสิทธิผล (E.I) ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์มีค่าเท่ากับ 0.5 แสดงว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้าคิดเป็นร้อยละ 50 (2) การคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนคิดเป็นร้อยละ 82.25 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (3) ความพึงพอใจของผู้เรียนอยู่ในระดับ มากที่สุด ( = 4.68, S.D. = 0.49)</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/254317
การพัฒนาเครื่องแกะสลักไม้เพื่อสร้างชิ้นงานในรูปแบบอัตลักษ์ไทเลย
2024-09-24T08:26:09+07:00
โกเมนทร์ พร้อมจะบก
komen.pro@lru.ac.th
นพรัตน์ พันธุวาปี
nopparat.pan@lru.ac.th
เมืองมล เสนเพ็ง
muangmol.sen@lru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้นำเสนอการพัฒนาเครื่องแกะสลักไม้เพื่อสร้างชิ้นงานแบบไทเลยโดยเปรียบเทียบกับทักษะของมนุษย์ในด้านเวลาและความแม่นยำ คณะผู้วิจัยใช้บอร์ดควบคุมสำหรับสเต็ปเปอร์มอเตอร์ 2 เฟส NEMA17, 1.8 องศา, แม่เหล็กถาวร สเต็ปเปอร์มอเตอร์สำหรับแกน x และ y การหมุนของสเต็ปปิ้งมอเตอร์ที่จะหมุนใน 1 วงกลมมี 360 องศา และมอเตอร์หมุน 1 สเต็ป เท่ากับ 1.8 องศา / 1 สเต็ป สำหรับคำนวณค่าการหมุนใน 1 รอบการหมุนเพื่อค้นหาสัญญาณพัลส์ที่ถูกต้อง เมื่อป้อนค่าลงในคอนโทรลเลอร์เพื่อให้ได้ระยะการหมุนที่ถูกต้อง ให้เรียกค่านั้น step/mm สามารถคำนวณได้จากข้อมูลต่อไปนี้ จำนวนพัลส์ในการหมุนมอเตอร์ 1 ตัวเท่ากับ 360 องศาหารด้วย 1.8 องศา เพื่อให้สเต็ป/รอบเท่ากับ 200 สเต็ป/มม. เราตั้งค่าบอร์ดควบคุมสเต็ปเปอร์มอเตอร์รูปแบบไมโครสเต็ปเป็น 32 สเต็ป/มม. โดยการทดลองแกน X และแกน Y แต่ละตัวด้วยค่าทดลอง 50 และ 100 มิลลิเมตร ระยะกัดชิ้นงาน 50 มิลลิเมตร ระยะการวัดในแกน X 49.8 มม. ข้อผิดพลาด 0.2 มม. แกน Y 49.8 มม. ข้อผิดพลาด 0.2 มม. ความแม่นยำคือ 99.6% ระยะชิ้นงาน 100 มม. ระยะการวัดในแกน X 99.6 มม. ข้อผิดพลาด 0.4 มม. ระยะการวัดในแกน Y 99.6 มม. ข้อผิดพลาด 0.4 มม. ความแม่นยำคือ 99.6% ผลการพัฒนาเครื่องแกะสลักไม้เพื่อสร้างชิ้นงานสไตล์ไทเลยเมื่อเปรียบเทียบกับทักษะของมนุษย์ในด้านเวลาและความแม่นยำ การทำงานของเครื่องมีความแม่นยำประมาณ 99.6% และภาพที่ได้มีความสมมาตรและขนาดของภาพไม่บิดเบี้ยว</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255600
การพัฒนาเครื่องคัดแยกสีเมล็ดถั่วด้วยการประมวลผลภาพ
2024-10-15T09:32:30+07:00
ศิวกร แก้วรัตน์
Khomyuth.cha@lru.ac.th
คมยุทธ ไชยวงษ์
khomyuth@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาเครื่องคัดแยกสีเมล็ดถั่วด้วยการประมวลผลภาพ 2) เพื่อหาประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องคัดแยกสีเมล็ดถั่วด้วยการประมวลผลภาพ โดยพัฒนาด้วยโปรแกรม MATLAB ทำงานร่วมกับบอร์ด Arduino nano ในการควบคุมการทำงานของเครื่องคัดแยกสีเมล็ดถั่ว 3 สี คือ ถั่วแดง ถั่วเหลือง และถั่วเขียว ผลวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">การตรวจหาค่าสี HSV ที่เหมาะสมสำหรับการคัดแยกสีของเมล็ดถั่วมีดังนี้ ค่าของสีแดง (H=0.85-1), (S=0.6-0.8), (V=0.3-0.60) ค่าของสีเหลือง (H=0.05-0.17), (S=0.05-0.17), (V=0.65-1) และค่าของสีเขียว (H= 0.35-0.45), (S=0.9-1), (V=0.7-1) ซึ่งทำให้การประมวลผลภาพได้ถูกต้องและแม่นยำ</li> <li class="show">การคัดแยกเมล็ดสีเมล็ดถั่วพบว่าสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำ โดยความถูกต้องในการคัดแยกคิดเป็น 97.53%.</li> </ol> <p> </p> <p><strong>คำสำคัญ</strong> : การคัดแยกสี, การประมวลผลภาพ, เมล็ดถั่ว</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255351
การพัฒนาเครื่องฝานขมิ้นชันสำหรับเกษตรกรผู้แปรรูปสมุนไพร จังหวัดสุรินทร์
2024-08-26T14:35:55+07:00
นิรัติศักดิ์ คงทน
me.tarinee@gmail.com
สหภัทร ชลาชัย
me.tarinee@gmail.com
ธาริณี มีเจริญ
me.tarinee@gmail.com
อุบลวรรณ สุวรรณภูสิทธิ์
me.tarinee@gmail.com
ชนม์ณัฐชา กังวานศุภพันธ์
me.tarinee@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องฝานขมิ้นชันสำหรับเกษตรกรผู้แปรรูปสมุนไพร ซึ่งองค์ประกอบหลักของเครื่อง ได้แก่ โครงเครื่อง ชุดใบมีดฝานซึ่งสามารถปรับระยะห่างได้ ถาดป้อน และช่องทางออกวัสดุ ใช้มอเตอร์ขนาด ¼ แรงม้าเป็นต้นกำลังและส่งกำลังด้วยสายพาน โดยในงานวิจัยนี้ได้ศึกษาระยะห่างของใบมีด 5 ระดับ (1 2 3 4 และ 5 มิลลิเมตร) และศึกษาค่าชี้ผลประกอบด้วยความสามารถในการทำงาน ประสิทธิภาพการฝาน เปอร์เซ็นต์สูญเสีย ความหนาของชิ้นขมิ้นชันที่ฝานได้ การใช้ไฟฟ้าของเครื่อง และอัตราการลดความชื้น</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า เมื่อทดสอบฝานขมิ้นชันที่ระยะใบมีดฝานที่ 1 2 3 4 และ 5 มิลลิเมตร เครื่องมีค่าความสามารถในการทำงานเฉลี่ย 10.04 41.81 43.62 49.20 และ 54.85 กิโลกรัม/ชั่วโมง ตามลำดับ ค่าประสิทธิภาพการฝานเท่ากับ 84.78 81.33 66.21 65.48 และ 62.01 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ โดยมีค่าเปอร์เซ็นต์สูญเสีย 15.22 18.67 33.79 34.52 และ 37.99 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ การฝานขมิ้นชันที่ระยะใบมีด 1-5 มิลลิเมตร ค่าความหนาของขมิ้นชันมีค่าเฉลี่ย 0.94 1.98 2.99 3.97 และ 4.97 มิลลิเมตร ตามลำดับ และมีอัตราการใช้กำลังไฟฟ้าอยู่ในช่วง 513.73 – 533.82 วัตต์ นอกจากนี้ ในการทดสอบการลดความชื้นของขมิ้นชันที่ฝานได้ พบว่า ที่ระยะใบมีด 1 2 และ 3 มิลลิเมตร ขมิ้นชันที่ได้จะมีน้ำหนักลดลงมากกว่าขมิ้นชันที่ได้จากการฝานที่ระยะใบมีด 4 และ 5 มิลลิเมตร ซึ่งเครื่องฝานขมิ้นชันที่พัฒนาขึ้นนี้ เกษตรกรสามารถนำไปใช้ฝานขมิ้นชันเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และสร้างรายได้ให้แก่กลุ่มเกษตรกรได้</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/254397
การพัฒนาเครื่องแยกผลพริกไทยออกจากก้านช่อ
2024-06-25T08:09:57+07:00
ธรรมศาสตร์ ไทยเกิด
sermsak.k@rmutsv.ac.th
ก่อพงศ์ สิทธิไพศาลวรกุล
sermsak.k@rmutsv.ac.th
ธิดารัตน์ ชูโสด
sermsak.k@rmutsv.ac.th
เสริมศักดิ์ เกิดวัน
sermsak.k@rmutsv.ac.th
<p>งานวิจัยเป็นการสร้างเครื่องแยกผลพริกไทยออกจากก้านช่อสำหรับชุมชน สวนพริกไทยลุงแย้ม ตำบลนาหลวงเสน อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยส่วนประกอบของเครื่อง 4 ส่วน ได้แก่ โครงสร้างเครื่องแยกผลพริกไทย ชุดต้นกำลังและระบบส่งกำลัง ชุดตัวถังแยกผลพริกไทย และตะแกรงแยกผลพริกไทย ซึ่งโครงเครื่องทำด้วยเหล็กอาบสังกะสี มีขนาดความกว้าง 38 เซนติเมตร ยาว 38 เซนติเมตร สูง 53 เซนติเมตร ถังนอกทำด้วยสแตนเลส มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 45 เซนติเมตร สูง 62 เซนติเมตร ด้านล่างของถังเป็นรูปกรวยเพื่อลำเลียงพริกไทยออกจากตัวถัง ชุดถังในทำด้วยตะแกรงสแตนเลส มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร สูง 30 เซนติเมตร ด้านในตัวถังมีแท่ง สแตนเลสรูปทรงสามเหลี่ยมช่วยเพิ่มแรงสัมผัสของพริกไทยกับผนัง เพื่อให้พริกไทยแยกออกจากก้านช่อได้ดียิ่งขึ้น ด้านล่างของถังเป็นแผ่นวงกลมทำด้วยตะแกรงสแตนเลส มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร หมุนเหวี่ยงพริกไทยให้ไปสัมผัสผนังของถังเพื่อแยกผลพริกไทย ใช้ความเร็วรอบประมาณ 1,200 รอบต่อนาที โดยมีมอเตอร์ ขนาด 0.5 แรงม้า เป็นต้นกำลัง</p> <p> ผลการทดสอบการใช้งานของเครื่องแยกผลพริกไทยออกจากก้านช่อพบว่าสามารถแยกผลพริกไทยได้เฉลี่ย 101.00 กิโลกรัมต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ย 1.20 บาทต่อชั่วโมง ในขณะที่การแยกผลพริกไทยด้วยแรงงานคนเท่ากับ 1.65 กิโลกรัมต่อชั่วโมง เครื่องสามารถแยกผลพริกไทยรวดเร็วกว่าแรงงานคนเท่ากับ 98.37 เปอร์เซ็นต์ ประสิทธิภาพเครื่องแยกผลพริกไทยออกจากก้านช่อเท่ากับ 96.75 เปอร์เซ็นต์ และสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องทำให้สามารถแยกผลพริกไทยได้ปริมาณมากในเวลาที่รวดเร็ว เครื่องจึงมีประสิทธิภาพช่วยลดเวลาในการแยกผลพริกไทยออกจากก้านช่อและตรงตามความต้องการของชุมชน</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255088
การพัฒนาระบบเกตรอินทรีย์และขับเคลื่อนสู่ระบบการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วมของกลุ่มเกษตรกรรายย่อย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
2024-08-14T10:59:45+07:00
มัทนา อินใชย
mathana_inc@cmru.ac.th
สิริศักดิ์ รัชชุศานติ
mathana_inc@cmru.ac.th
เจิมขวัญ รัชชุศานติ
mathana_inc@cmru.ac.th
<p>การศึกษาเรื่องการพัฒนาระบบเกษตรอินทรีย์และขับเคลื่อนสู่ระบบการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วมของกลุ่มเกษตรกรรายย่อย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบเกษตรอินทรีย์และขับเคลื่อนระบบเกษตรอินทรีย์เกษตรกรรายย่อยอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่เข้าสู่ระบบการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วมสำหรับเกษตรกรรายย่อย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling ) ได้แก่ กลุ่มเกษตรกรเกษตรอินทรีย์รายย่อยบ้านดอกแดงตำบลสง่าบ้าน อำเภอคอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 22 คน ใช้ระเบียบวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research, PAR) มีกระบวนการศึกษา 3 ขั้นตอน 1) สนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้นำเกษตรกร เพื่อประเมินแนวทางการพัฒนาระบบเกษตรอินทรีย์ที่เหมาะสม 2) ใช้กระบวนการจัดการความรู้ในการสร้างองค์ความรู้หลักการเกษตรอินทรีย์ และอบรมเชิงปฏิบัติการจากผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรีย์ ทดลองทำแปลงสาธิตเพื่อส่งเสริมศักยภาพเกษตรกรรายย่อยเข้าสู่ระบบการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม 3) ทำการตรวจประเมินแปลงเกษตรอินทรีย์ตามขั้นตอนของการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มเกษตรกรบ้านดอกแดง ตำบลสง่าบ้าน อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ มีความรู้ในด้านเกษตรอินทรีย์ แต่ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดการพื้นที่เพื่อพัฒนาเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ที่มีมาตรฐาน แนวทางที่เหมาะสมกับการพัฒนากลุ่มเกษตรกรคือพัฒนาเกษตรกรด้านความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานของการทำเกษตรอินทรีย์และฝึกทักษะที่ถูกต้องในการจัดการพื้นที่ตามแนวทางเกษตรอินทรีย์ ผู้วิจัยได้ส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายทำให้กลุ่มเกษตรกรตัวอย่างได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาพันธ์เกษตรกรยั่งยืนเชียงใหม่ มีคณะกรรมการสมาพันธ์เป็นที่คำปรึกษาด้านเทคนิคการผลิตรวมถึงถ่ายทอดองค์ความรู้การจัดการระบบเกษตรอินทรีย์แก่กลุ่มเกษตรกร เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนจัดการพื้นที่การเกษตรเข้าเกณฑ์การรับรองและได้รับการรับรองมาตรฐานแบบมีส่วนร่วมหรือ PGS จำนวน 1 ราย</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255423
การพัฒนาระบบข้อมูลประจำตัวสำหรับแมวด้วยเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด
2024-08-19T10:36:57+07:00
ตรีรัตน์ ตระกูลอุดมพร
asada2518@hotmail.com
เที่ยงธรรม สิทธิจันทเสน
asada2518@hotmail.com
อัษฎา วรรณกายนต์
asada2518@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบ และ 2) ทดสอบประสิทธิภาพระบบข้อมูลประจำตัวสำหรับแมวด้วยเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ระบบข้อมูลประจำตัวสำหรับแมวด้วยเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด และ 2) ตารางทดสอบประสิทธิภาพระบบ ผู้วิจัยได้ออกแบบและพัฒนาระบบสำหรับการจัดการข้อมูลประจำตัวของแมวและเจ้าของแมว โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และเทคโนโลยี QR Code เพื่อเก็บและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่จัดเก็บในระบบประกอบด้วย ชื่อ เพศ อายุ สายพันธุ์ ลักษณะเด่นของแมว และข้อมูลเจ้าของแมว เช่น ชื่อ ที่อยู่ และช่องทางการติดต่อ ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ทันทีผ่านการสแกน QR Code งานวิจัยนี้ได้นำโมเดล ADDIE มาใช้ในการออกแบบและพัฒนาระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้และเงื่อนไขต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน จากนั้นนำไปทดสอบประสิทธิภาพระบบ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ย </p> <p> ผลการวิจัย 1) ผลการพัฒนาระบบ พบว่า ได้ระบบสารสนเทศที่นำมาใช้ในการจัดการข้อมูล และสามารถแสดงข้อมูลแมวและเจ้าของแมวที่จำเป็นผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ดที่ใช้งานกับอุปกรณ์ได้หลากหลายผู้พบเห็นแมวสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อแจ้งการพบแมว หรือนำส่งแมวคืนเจ้าของได้ และ 2) ผลการทดสอบประสิทธิภาพ พบว่า ระบบข้อมูลประจำตัวสำหรับแมวด้วยเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด มีประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงคิวอาร์โค้ดไปยังข้อมูลประจำตัวของแมว, การเชื่อมโยงไปยังช่องทางการติดต่อกับเจ้าของแมว และการเชื่อมโยง ไปยังแผนที่ที่อยู่เจ้าของแมวในภาพรวม มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/253750
การศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันลมขนาดเล็ก ความเร็วรอบต่ำภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์
2024-09-10T12:15:10+07:00
ดุสิต อุทิศสุนทร
dusit.ut@bru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้นำเสนอการศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันลมขนาดเล็กความเร็วรอบต่ำ โดยการนำพลังงานลมซึ่งเป็นพลังงานสะอาดไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการผลิตไฟฟ้า มีวัตถุประสงค์เพื่อ : 1) ออกแบบสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานลม 2) ทดสอบความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของกังหันลมแกนตั้งและแกนนอน ในการออกแบบสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้านั้นประกอบด้วยส่วนที่เคลื่อนที่ ทำจากแผ่นจานแม่เหล็กถาวร จำนวน 48 ก้อน หล่อด้วยเรซิ่น และขดลวดสเตเตอร์ ใช้ขดลวดทองแดงเบอร์ # 23 AWG. จำนวน 10 ขด จำนวนขดละ 1,500 รอบ จากนั้นทำการออกแบบใบพัดกังหันลมให้เหมาะสมกับความเร็วลมรอบต่ำ ประกอบด้วยกังหันลมแบบแกนตั้ง (Vertical Axis Wind Turbine) ประยุกต์ใช้พัดลมระบายอากาศของหลังคามีกลีบทั้งหมด 36 กลีบ มีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ 60 ซม. มีความสูงของใบที่ 50 เซนติเมตร และกังหันลมแบบแกนนอน (Horizontal axis Wind Turbine) สร้างจากท่อพลาสติกมีความยาวที่ต่างกันคือ ยาว 60 เซนติเมตร 80 เซนติเมตร และ 100 เซนติเมตร จากนั้นทำการทดสอบเปรียบเทียบการผลิตไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่สร้างขึ้น</p> <p> จากผลการทดลองจะเห็นค่าความแตกต่างของกันหันลมทั้งสองแบบในการผลิตไฟฟ้าที่แตกต่างกัน พบว่า แรงดันไฟฟ้าของใบพัดแกนนอนขนาดความยาวใบพัด 80 เซนติเมตร สามารถผลิตไฟฟ้าได้ปริมาณสูงสุดที่ความสูง 6 เมตร ความเร็วลม 4 เมตรต่อวินาที จำนวนรอบ 358 รอบต่อนาที ขนาดแรงดันไฟฟ้าเท่ากับ 40.67 โวลต์ และต่ำสุดที่ความสูง 2 ม. ขนาดความยาวใบพัด 100 เซนติเมตร ความเร็วลม 1.1 เมตรต่อวินาที จำนวนรอบ 167 รอบต่อนาที ขนาดแรงดันไฟฟ้าเท่ากับ 13.41 โวลต์ ซึ่งจะแตกต่างกับกังหันลมผลิตไฟฟ้าแกนตั้งที่สามารถผลิตกำลังไฟฟ้าสูงสุดที่ความสูง 6 เมตร ความเร็วลม 4 เมตรต่อวินาที จำนวนรอบ 64 รอบต่อนาที ขนาดแรงดันไฟฟ้าเท่ากับ 26.54 โวลต์ และต่ำสุดที่ความสูง 2 เมตร ความเร็วลม 1.1 เมตรต่อวินาที จำนวนรอบ 30 รอบต่อนาที ขนาดแรงดันไฟฟ้าเท่ากับ 13.74 โวลต์ จากผลดังกล่าวเป็นแนวทางการพัฒนาพลังงานทดแทนโดยใช้กังหันลมผลิตไฟฟ้าต่อไป</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255353
การศึกษาอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าของมอเตอร์กระแสตรง ชนิดไร้แปรงถ่านของจักรยานไฟฟ้าแบบดัดแปลง
2024-10-21T13:41:48+07:00
โชคดี ปัดนา
chokdeepatna@gmail.com
อานนท์ มุงวงษา
Patna1879@gmail.com
<p> การวิจัยนี้ศึกษาการใช้พลังงานไฟฟ้าของมอเตอร์กระแสตรงชนิดไร้แปรงถ่านในจักรยานไฟฟ้าแบบดัดแปลง โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อดัดแปลงจักรยานธรรมดาให้ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์กระแสตรงชนิดไร้แปรงถ่าน 2) เพื่อศึกษาอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าของมอเตอร์ที่ความเร็วระดับต่างๆ และ 3) เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซื้อจักรยานไฟฟ้า หลังจากที่มีการออกแบบและทำการติดตั้งชุดอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องมือวัดของรถจักรยานไฟฟ้าแบบดัดแปลง ซึ่งการทดลองใช้ภาระโหลดที่ 40, 30 และ 20 กิโลกรัม ที่ความเร็ว 10, 15, และ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในการทดสอบครั้งนี้เพื่อหาค่ากระแสไฟฟ้าที่ใช้และการหาค่ากำลังไฟฟ้าของมอเตอร์</p> <p> ผลจากการทดลองพบว่า มอเตอร์ใช้กระแสมากที่สุดที่ภาระโหลด 40 กิโลกรัม (1.44 แอมป์แปร์) รองลงมาที่ 30 กิโลกรัม (1.38 แอมป์แปร์) และ 20 กิโลกรัม (1.22 แอมป์แปร์) ตามลำดับ สำหรับการหาค่ากำลังไฟฟ้ามอเตอร์ใช้กำลังไฟฟ้ามากที่สุดที่ภาระโหลด 40 กิโลกรัม (29.37 วัตต์) รองลงมาที่ 30 กิโลกรัม (28.15 วัตต์) และ 20 กิโลกรัม (24.88 วัตต์) ตามลำดับ</p> <p> </p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255340
การออกแบบและสร้างเครื่องปั่นกล้วยสุก
2024-08-09T08:47:50+07:00
ก้องภพ จันทร์แดง
atisak142531@gmail.com
กิตติชนม์ เมืองเกตุ
buncha.p@rmutsb.ac.th
ชาติชาย สนเสริม
buncha.p@rmutsb.ac.th
บัญชา พุทธากูล
buncha.p@rmutsb.ac.th
อติศักดิ์ ไสวอมร
atisak142531@gmail.com
<p>ปัจจุบันการปลูกกล้วยเพื่อการค้าในประเทศไทย มีอยู่ 3 ชนิดคือ กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่และกล้วยหอมกล้วยแต่ละชนิดอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารและโภชนาการที่แตกต่างกันออกไป หากรับประทานเป็นประจำจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากการรับประทานผลสุกของกล้วยหรือนำมาประกอบอาหารแล้ว กล้วยยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นขนมต่างๆ ได้ เช่น กล้วยกวน กล้วยฉาบ กล้วยตาก กล้วยอบเนย ทอฟฟี่ แป้งกล้วยและกล้วยในน้ำเชื่อมบรรจุกระป๋อง เป็นต้น งานวิจัยนี้เป็นการออกแบบและสร้างเครื่องปั่นกล้วยสุก เพื่อหาประสิทธิภาพเครื่องปั่นกล้วยโดยการศึกษาเปรียบเทียบ การใช้ใบมีด 2 แบบคือ แบบที่1.ใบมีดแบบตรง มีจำนวน 3 ใบ ความยาวใบด้านบนและความยาวใบด้านล่าง ขนาด 4x21 เซนติเมตร ใบตรงกลาง ขนาด 4x19 เซนติเมตร และแบบที่2.ใบมีดแบบโค้ง มีจำนวน 3 ใบความยาวใบด้านบนและความยาวใบด้านล่างขนาด 4x21 เซนติเมตร ใบตรงกลาง ขนาด 4x19 เซนติเมตร ปลายใบบนงอขึ้น 170 องศา ใบล่างงอลง 170 องศา ความเร็วรอบ 1,450 รอบ/นาที ใช้กล้วยในการทดลอง 5 กิโลกรัม น้ำเปล่า 1 ลิตร การศึกษาเพื่อหาประสิทธิภาพของใบมีดแบบตรงและแบบโค้ง เพื่อหาเวลาที่ดีที่สุดในการปั่นกล้วยสุกและวิเคราะห์ผลจากการทดลอง ผลการทดลองปั่นกล้วยสุกด้วยเครื่องปั่น ใบมีดแบบที่ 2 มีประสิทธิภาพดีที่สุดและใช้เวลาน้อยที่สุด เวลาในการปั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 46.08 วินาที ปริมาณกล้วยที่ไม่ถูกปั่น เฉลี่ยอยู่ที่ 0 กรัม คิดเป็น 0 เปอร์เซ็นต์ ใช้กล้วยในการทดลอง 5 กิโลกรัม น้ำเปล่า 1 ลิตร น้ำหนักกล้วยรวมน้ำหนักของน้ำเท่ากับ 6 กิโลกรัม หลังปั่นกล้วยสุกด้วยเครื่องปั่นเฉลี่ยน้ำหนักอยู่ที่ 6 กิโลกรัม คิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255169
เครื่องบีบอัดขยะขนาดเล็ก ควบคุมด้วยระบบไฮดรอลิก
2024-11-04T11:21:12+07:00
อิษฏ์ รานอก
wijitkon.k@lawasri.tru.ac.th
ธาดา คำแดง
wijitkon.k@lawasri.tru.ac.th
วิจิตกร คำรัตน์
wijitkon.k@lawasri.tru.ac.th
<p>โครงงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อออกแบบและสร้างเครื่องบีบอัดขยะขนาดเล็ก ควบคุมด้วยระบบไฮดรอลิก 2) เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีเครื่องบีบอัดขยะขนาดเล็ก ควบคุมด้วยระบบไฮดรอลิก 3) เพื่อปรับปรุงระบบการจัดการขยะออกแบบเครื่องบีบอัดขยะขนาดเล็ก ควบคุมด้วยระบบไฮดรอลิก โดยประยุกต์ใช้อุปกรณ์ที่มีจำหน่ายทั่วไปตามท้องตลาด อีกทั้งลดต้นทุนการผลิต เพื่อเป็นเครื่องต้นแบบให้กับชุมชน เนื่องจากตัวเครื่องบีบอัดขยะมีราคาที่สูง ขนาดใหญ่ และต้องการระบบไฟฟ้า 3 เฟส ซึ่งทำให้กลุ่มชุมชน หรือวิสาหกิจชุมชน ไม่สามารถนำมาใช้กับชุมชนของตนเองได้</p> <p> ดังนั้นโครงงานวิจัยนี้จึงได้ทำการออกแบบระบบบีบอัดขยะโดยใช้กระบอกไฮดรอลิกขนาด 5 ตัน ระยะชักที่ 1.4 เมตร โดยควบคุมผ่านคอนโทรลวาล์ว 1 แกน และใช้ปั้มน้ำมันไฮดรอลิคที่ถูกขับด้วยมอเตอร์ขนาด 1.5 แรงม้า และในส่วนระบบไฟฟ้าจะออกแบบตู้ควบคุมมอเตอร์ แรงดัน 220 โวลต์ มีโอเวอร์โหลดรีเลย์ป้องกันมอเตอร์ ผลที่ได้จาการทดลองพบว่าตัวเครื่องที่ออกแบบสามารถบีบอัดขวดพลาสติก กระดาษลัง ให้มีปริมาตรลดลงได้กว่า 70 เปอร์เซ็น และระบบที่ออกแบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255472
ชุดรีดวัตถุดิบสำหรับการลำเลียงเข้าห้องคัดแยกใบรางจืด
2024-08-27T10:44:44+07:00
พงศ์ไกร วรรณตรง
pongkrai2348@gmail.com
ภานุเมศวร์ สุขศรีศิริวัชร
pongkrai2348@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพการทำงานของเทคโนโลยีการคัดแยกใบรางจืดสำหรับใช้ในศูนย์วิสาหกิจชุมชนสมุนไพรแปรรูปบ้านกันตรวจระมวล มีองค์ประกอบหลักที่สำคัญของเครื่อง ได้แก่ โครงสร้างเครื่อง ชุดใบมีดข้อเหวี่ยงอิสระหนา มอเตอร์ขนาด 1 แรงม้าเป็นต้นกำลังและส่งกำลังด้วยสายพาน ชุดรีดวัตถุดิบ และตะแกรงคัดแยก โดยงานวิจัยนี้ได้ศึกษาความเร็วรอบของชุดรีดวัตถุดิบ 3 ระดับ (8 รอบ/นาที, 12 รอบ/นาที, 16 รอบ/นาที) และศึกษาประสิทธิภาพการทำงานของเทคโนโลยีการคัดแยกใบรางจืด</p> <p> จากการศึกษา พบว่า เมื่อใช้ความเร็วรอบชุดรีดที่ 8 รอบ/นาที สมุนไพรใบรางจืดมีน้ำหนักหลังคัดแยกเฉลี่ยอยู่ที่ 932.78 กรัม มีประสิทธิภาพการคัดแยกร้อยละ 93.25 ใช้เวลาเฉลี่ยในการคัดแยกที่ 33.18 นาที เมื่อใช้ความเร็วรอบชุดรีดที่ 12 รอบ/นาที สมุนไพรใบรางจืดมีน้ำหนักหลังคัดแยกเฉลี่ยอยู่ที่ 927.34 กรัม มีประสิทธิภาพการคัดแยกร้อยละ 92.72 ใช้เวลาเฉลี่ยในการคัดแยกที่ 23.51 นาที และเมื่อใช้ความเร็วรอบชุดรีดที่ 16 รอบ/นาที สมุนไพรใบรางจืดมีน้ำหนักหลังคัดแยกเฉลี่ยอยู่ที่ 909.25 กรัม มีประสิทธิภาพการคัดแยกร้อยละ 90.90 ใช้เวลาเฉลี่ยในการคัดแยกที่ 21.45 นาที จากการทดสอบความเร็วรอบชุดรีดทั้ง 3 ระดับ พบว่าระดับที่กลุ่มแปรรูปสมุนไพรมีความต้องการคือความเร็วรอบชุดรีดที่ 12 รอบ/นาที โดยพิจารณาจากความละเอียดของสมุนไพร เวลาที่ใช้ในการคัดแยก และเถารางจืดเจือปนน้อย</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/254474
รถหยอดเมล็ดพันธุ์สำหรับการปลูกข้าวแบบนาตม
2024-06-26T08:19:00+07:00
มานพ ดอนหมื่น
m.donmuan@gmail.com
ปริญญวัตร ทินบุตร
Phainpu@gmail.com
เจษฎา คำภูมี
Phainpu@gmail.com
ภูริพัส แสนพงษ์
Phainpu@gmail.com
อลิษา เกษทองมา
alisa.ke@rmuti.ac.th
ศุภกฤษฎิ์ ช่วยชูหนู
phainpu@gmail.com
ประสิทธิ์ สมจินดา
Phainpu@gmail.com
<p>งานวิจัยรถหยอดเมล็ดพันธุ์สำหรับการปลูกข้าวแบบนาตม มีวัตถุประสงค์การดำเนินงาน 3 ข้อ คือ 1) เพื่อออกแบบและสร้างรถหยอดเมล็ดพันธุ์สำหรับการปลูกข้าวแบบนาตม 2) เพื่อหาประสิทธิภาพรถหยอดเมล็ดพันธุ์สำหรับการปลูกข้าวแบบนาตม และ 3) เพื่อศึกษาความคุ้มค่าด้านเศรษฐศาสตร์ของการใช้งานรถหยอดเมล็ดพันธุ์สำหรับการปลูกข้าวแบบนาตม ผู้วิจัยได้ดำเนินการออกแบบและพัฒนารถหยอดเมล็ดพันธุ์สำหรับการปลูกข้าวแบบนาตม ขนาดกว้าง 2,000 มม. ยาว 2,700 มม. สูง 1,450 มม. น้ำหนัก 400 กิโลกรัม โดยใช้ต้นกำลังขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ขนาด 9 แรงม้า สามารถหยอดข้าวได้ครั้งละ 8 แถว หยอดข้าวได้จำนวน 5-8 เมล็ดต่อจุด ผลการทดสอบพบว่ารถหยอดเมล็ดพันธุ์สำหรับการปลูกข้าวแบบนาตม สามารถหยอดข้าวเฉลี่ย 1.46 ไร่ต่อชั่วโมง อัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเฉลี่ย 8 กิโลกรัมต่อไร่ จำนวนเมล็ดข้าวที่ตกเฉลี่ย 6.81 เมล็ดต่อจุด อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 2.2 ลิตรต่อไร่ ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 425 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.63 เทียบกับวิธีการทำนาแบบหว่าน เมื่อพิจารณาความคุ้มค่าด้านเศรษฐศาสตร์จะพิจารณาจากเงินลงทุนในโครงการซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในของเงินลงทุนซื้อรถหยอดเมล็ดพันธุ์สำหรับการปลูกข้าวแบบนาตมในราคา 150,000 บาท พบว่าวิธีการเพาะปลูกข้าวแบบใช้รถหยอด มีต้นทุน 3,660 บาทต่อไร่ สามารถลดต้นทุนได้ร้อยละ 18 เทียบกับวิธีทำนาแบบหว่าน มีระยะเวลาคืนทุน 0.62 ปี หรือประมาณ 7.42 เดือน</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255008
Developing A CCTV-AI System with The Capability to Accurately Detect and Recognize Individuals Who Are Wearing Helmets, Specifically Targeting Riders and Passengers.
2024-09-11T12:52:52+07:00
Jetsada Kumphong
jetsada.kumphong@gmail.com
Nathayu Chawapattanayoth
Jetsada.ku@rmuti.ac.th
<p>Currently, Thailand is experiencing a high mortality rate due to motorcycle accidents, coupled with a low rate of helmet usage. Previous research has indicated that law enforcement measures can effectively increase helmet compliance. To address this issue, a study was conducted to create a system using artificial intelligence and CCTV technology to identify riders and passengers who are not wearing helmets. The study involved four key stages: data collection, software development utilizing Yolo V.4 library, neural network training, and accuracy assessment. Results demonstrate that the program can successfully identify non-helmet-wearing riders with a 95% accuracy rate, which is deemed suitable for implementation by law enforcement agencies.</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์