วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus <p>วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">ISSN 3027-6322 </span><span style="font-size: 0.875rem;">(Online)</span></p> <p>ISSN 3027-6314 <span style="font-size: 0.875rem;">(Print)</span></p> <p>กำหนดออก : 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p>มีวัตถุประสงค์ : เพื่อรวบรวม และเผยแพร่ ผลงานทางวิชาการ โดยตีพิมพ์บทความวิจัย และบทความทางวิชาการ ด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมศึกษา นวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม</p> <p>เจ้าของ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์</p> คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ th-TH วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 3027-6314 การจัดโปรแกรมเส้นทางการท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยใช้วิธีการค้นหาเพื่อนบ้านใกล้สุด https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/250519 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดนครศรีธรรมราช หาพิกัดที่ตั้งและระยะทางการท่องเที่ยว เพื่อนำมาจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวสำหรับให้นักท่องเที่ยวใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการท่องเที่ยวภายใต้ระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีทั้งหมด 22 แห่ง กระจายตัวในบริเวณอำเภอเมืองและอำเภอข้างเคียง การจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวประยุกต์ใช้วิธีการค้นหาเพื่อนบ้านใกล้สุด (The Nearest Neighbors Method) ในการจัดเส้นทาง โดยกำหนดให้มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดการท่องเที่ยวที่สนามบินนานาชาตินครศรีธรรมราช มีเวลาในการเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆที่ละ 30 นาทีและมีการท่องเที่ยว 6 ชั่วโมงต่อวัน เป็นต้น ผลจากการจัดเส้นทางพบว่ามีเส้นทางการท่องเที่ยวที่แนะนำทั้งสิ้น 4 เส้นทาง และใช้ระยะเวลาในการท่องเที่ยวแต่ละเส้นทาง 336.9, 346.3, 355.3, 211.4 นาที ตามลำดับ ผลการจัดเส้นทางนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราชของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาจำกัด หรือเป็นแนวทางในการจัดเส้นทางการท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นๆได้อีกด้วย</p> ศิวพร แน่นหนา ฉัตรพล พิมพา จรีวรรณ จันทร์คง ฐิติกร พรหมบรรจง วริฏฐา เทพนิมิตร บัณฑิตา ภู่ทรัพย์มี โปณะทอง Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-11-25 2023-11-25 8 2 1 12 10.14456/journalindus.2023.13 การประเมินคุณสมบัติคอนกรีตผสมวัสดุเหลือใช้และความคุ้มค่าสำหรับการออกแบบเฟอร์นิเจอร์สนาม https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/251303 <p>การวิจัยนี้ได้ศึกษาแนวทางการออกแบบและการประเมินวัสดุคอนกรีตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อนำมาใช้เป็นวัสดุหลักในการออกแบบผลิตเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง โดยการผสมคอนกรีตกับเศษวัสดุเหลือใช้ประเภทขวดน้ำดื่มพลาสติกใสและโฟมแล้วนำมาทดสอบคุณสมบัติทางกล ความคุ้มค่า และการลดต้นทุนก่อนการผลิตจริง</p> <p> ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแบ่งออกได้ดังนี้ ด้านการออกแบบเพื่อความยั่งยืน ด้านวิศวกรรม และด้านวัสดุ เพื่อนำมาวิเคราะห์คุณสมบัติคอนกรีตที่ผสมเศษวัสดุที่ใช้แล้วโดยการนำมาทดแทนมวลรวมบางส่วน ด้วยวิธีการใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ (OPC) ผสมกับเศษวัสดุเหลือใช้ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน 2 แบบ คือ ตัวอย่างมีค่าร้อยละ 5 และ 10 โดยสัดส่วนของมวลรวมทั้งหมด การวิเคราะห์คุณบัติทางกลในเบี้องต้นความสามารถรับกำลังอัดระหว่างคอนกรีตที่ผสมขวดน้ำพลาสติกและโฟมทดแทนมวลรวมบางส่วนในอัตราส่วนไม่เกินร้อยละ 10 โดยสัดส่วนของมวลรวมทั้งหมด</p> <p> ผลการทดสอบพบว่าสัดส่วนที่เหมาะสมสามารถนำไปใช้ในการผลิตชิ้นงานต้นแบบและขึ้นรูปได้คือคอนกรีตที่ผสมพลาสติกกับโฟมร้อยละ 5 โดยสัดส่วนของมวลรวมทั้งหมดในระยะเวลาการบ่มที่ 14 และ 28 วัน เพราะมีกำลังที่มากที่สุดและค่ากำลังเสถียรที่สุด การพิจารณาค่าการรับกําลังอัดที่ทดสอบได้ให้เหมาะสมกับการรับกําลังอัดในงานออกแบบขึ้นรูปผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์กลางแจ้งที่ไม่ต้องการแรงรับกําลังอัดสูงมาก ทำให้ต้นทุนของคอนกรีตผสมขวดน้ำพลาสติกใสและโฟมที่ใช้แล้วลดลง คิดเป็นจำนวนเงินได้ 13.71 ถึง 27.40 บาทต่อการผลิตเฟอร์นิเจอร์สนาม 1 ชุด เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์สอดคล้องกับแนวคิดด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและการบริหารจัดการทรัพยากรตามหลัก 5Rs ภายในองค์กรการลดการใช้ (reduce) การใช้ซ้ำ (reuse) การแปรรูปมาใช้ใหม่ (recycle) การใช้ทรัพยากรแบบหมุนเวียน (renewable) และ การปฏิเสธการใช้ (refuse) ช่วยลดมลพิษลดการเกิดของเสียในวงจรผลิตภัณฑ์และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นเป้าหมายที่สำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน</p> <p> </p> แดน อุตรพงษ์ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-11-25 2023-11-25 8 2 13 23 10.14456/journalindus.2023.14 การพัฒนาเกมสองมิติไหว้พระเก้าวัดดีอุบลราชธานีศรีวะนาไล https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/251765 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้&nbsp; มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อออกแบบภาพประกอบทสำหรับใช้ในการพัฒนาเกมสองมิติไหว้พระเก้าวัดดีอุบลราชธานีศรีวะนาไล 2) เพื่อทดลองและประเมินการออกแบบภาพประกอบที่ใช้ในการพัฒนาเกมสองมิติไหว้พระเก้าวัดดีอุบลราชธานีศรีวะนาไล 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เล่นเกมสองมิติไหว้พระเก้าวัดดีอุบลราชธานีศรีวะนาไล โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี&nbsp; จำนวน 30 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมัลติมีเดียและแอนิเมชัน จำนวน 3 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า&nbsp; ผู้วิจัยได้พัฒนาเกมสองมิติไหว้พระเก้าวัดดีศรีวะนาไล โดยใช้การเก็บแต้มจากการเล่นเกม โดยการเก็บแต้ม โดยสามารถเลือกสัญลักษณ์ที่แทนการขอพรใน 4 ด้าน คือ&nbsp; 1) ด้านสุขภาพ 2) ด้านสติปัญญา&nbsp; 3) ด้านการงาน&nbsp; 4) ด้านทรัพย์สมบัติ จากการประเมินประสิทธิภาพของระบบจากผู้เชี่ยวชาญพบว่าอยูในระดับดีมาก ( x̄ = 4.55) กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจ โดยรวมพึงพอใจในระดับมาก ( x̄ =&nbsp; 4.26)&nbsp; ซึ่งถือได้ว่ามีคุณภาพสูง</p> ยุทธศักดิ์ ทองแสน Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-12-28 2023-12-28 8 2 24 38 10.14456/journalindus.2023.15 การพัฒนาเครื่องบันทึกเพื่อตรวจติดตามอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ ในโรงเลี้ยงไหมพันธุ์พื้นบ้าน https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/250564 <p>การควบคุมอุณหภูมิเพื่อให้สภาพแวดล้อมมีความเหมาะสมหรับการเลี้ยงไหมเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของหนอนไหมทุกช่วงวัย ดังนั้นเครื่องมือตรวจวัด บันทึกอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ที่สามารถแสดงผลบนสมาร์ทโฟนจึงเป็นส่วนช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไหมสามารถควบคุมคุณภาพของผลผลิตในราคาไม่สูง โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับเครื่องจากต่างประเทศ โดยมีโครงสร้างการทำงานได้แก่ด้วยโครงสร้างการทำงานที่สำคัญ ได้แก่ ไมโครคอนโทรเลอร์ NodeMCU ESP8266 WiFi ระบบเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ (DHT11) ระบบจะแสดงผลบน Google Sheet ในงานนี้วิจัยได้ทำการทดลองในโรงเลี้ยงหนอนไหมวัยอ่อน โดยห้องมีขนาด 3 x 4 เมตร โดยมีการกำหนดการทดลองตั้งแต่วันที่ 28 – 30 มกราคม 2566 ผลการทดสอบความแม่นยำและความเที่ยงตรงในการใช้งาน พบว่าในส่วนของอุณหภูมิ หน่วยเป็น °C มีอุณหภูมิ และความชื้นสัมพัทธ์ โดยเปรียบเทียบกับเซนเซอร์ของเครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้นของบริษัท NECTEC รุ่น NEB6500 มีเปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดเฉลี่ยเท่ากับ 3.93% และในส่วนของความชื้นสัมพัทธ์โดยเฉลี่ย 69.43 RH (Relative Humidiny) มีเปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดเฉลี่ยเท่ากับ 1.62% &nbsp;ซึ่งอยู่ในช่วงที่ไม่สูงมากนัก ในด้านต้นทุนโดยประมาณในการพัฒนาเครื่องต้นแบบ เท่ากับ 500 บาท มีราคาต่ำกว่าเซนเซอร์ที่วัดอุณหภูมิและความชื้นที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ประมาณ 94 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น หากนำงานวิจัยนี้ไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์จะช่วยลดต้นทุนในการผลิตอุปกรณ์หรือเครื่องมือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมากมาย</p> ทรงศักดิ์ มีสิทธิ์ สุพัตรา วะยะลุน ปฏิวัติ อาสาเสน พิทักษ์ แสนกล้า วีระนันต์ วิบูลย์อรรถ รัติยา ธานี Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-11-25 2023-11-25 8 2 39 48 10.14456/journalindus.2023.16 เรื่อง การพัฒนาเครื่องแยกของเหลวออกจากมูลโค https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/250960 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนา และ 2) ทดสอบประสิทธิภาพ และประเมินคุณภาพเครื่องแยกของเหลวออกจากมูลโค เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ เครื่องแยกของเหลวออกจากมูลโค ตารางบันทึกผลการทดสอบประสิทธิภาพและแบบประเมินคุณภาพ คณะผู้วิจัยได้ออกแบบและพัฒนาเครื่องแยกของเหลวออกจากมูลโค โดยนําขั้นตอนการพัฒนาเครื่องจักรกลและแนวคิดกระบวนการเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเครื่องแยกของเหลวออกจากมูลโคจากนั้นนำเครื่องไปทดสอบประสิทธิภาพ ประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านเครื่องจักรกลเกษตร ด้านระบบไฟฟ้า ด้านการเลี้ยงสัตว์และด้านเทคโนโลยีการเกษตรและนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ โดยใช้เป็นสถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1) &nbsp;ได้เครื่องจักรกลทางการเกษตร ที่สามารถนำมาใช้จัดการของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่เป็นของเสียจากฟาร์มโคเนื้อ-โคนม ได้แก่ มูลโคและเศษหญ้าเศษอาหารที่โคไม่กินและมูลเปียกที่รวมกับปัสสาวะและ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; น้ำล้างคอก เป็นต้น</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2) &nbsp;ประสิทธิภาพเครื่องแยกของเหลวออกจากมูลโค</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(1)&nbsp; ที่อัตราส่วนมูลวัวต่อน้ำ 1:1 ความชื้นรวมหลังการทดสอบเฉลี่ย เท่ากับร้อยละ 2.90 น้ำหนักรวมหลังการทดสอบเฉลี่ย เท่ากับ 55.40 กิโลกรัม เวลาที่ใช้เฉลี่ยเท่ากับ 11 นาที และปริมาณการคัดแยกเฉลี่ย เท่ากับ 302.18 kg/hr</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; (2)&nbsp; ที่อัตราส่วนมูลวัวต่อน้ำ 2:3 ความชื้นรวมหลังการทดสอบเฉลี่ย เท่ากับร้อยละ 3.34 น้ำหนักรวมหลังการทดสอบเฉลี่ยเท่ากับ 44.60 กิโลกรัม เวลาที่ใช้เฉลี่ยเท่ากับ 8.40 นาที และปริมาณการคัดแยกเฉลี่ยเท่ากับ 318.57 kg/hr</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; (3)&nbsp; ที่อัตราส่วนมูลวัวต่อน้ำ 3:2 ความชื้นรวมหลังการทดสอบเฉลี่ย เท่ากับร้อยละ 2.90 น้ำหนักรวมหลังการทดสอบเฉลี่ยเท่ากับ 62.60 กิโลกรัม เวลาที่ใช้เฉลี่ยเท่ากับ 15.20 นาที และ ปริมาณการคัดแยกเฉลี่ยเท่ากับ 247.11 kg/hr</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3) &nbsp;คุณภาพเครื่องแยกของเหลวออกจากมูลโค จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญในภาพรวมอยู่ในระดับ ดีมาก มีค่าเฉลี่ย 4.67 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.48</p> อธิรัช ลี้ตระกูล จีระศักดิ์ พิศเพ็ง วิชัย แหวนเพชร อัษฎา วรรณกายนต์ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-12-18 2023-12-18 8 2 49 62 10.14456/journalindus.2023.17 การพัฒนาไม้ระดับที่ต่อความยาวด้วยเศษวัสดุ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/251732 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคลาดเคลื่อนเข้าบรรจบ และเปรียบเทียบความคลาดเคลื่อน&nbsp; เข้าบรรจบระหว่างการทำระดับด้วยไม้ระดับที่ต่อความยาวด้วยเศษวัสดุกับการทำระดับด้วยไม้ระดับปกติ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเก็บข้อมูลเป็นการทำระดับสายการระดับวงรอบปิดระยะทาง 3.4 กิโลเมตร แบ่งวิธีการทำระดับเป็นสองวิธี คือ วิธีที่ 1 การทำระดับด้วยไม้ระดับที่ต่อความยาวด้วยเศษวัสดุ และวิธีที่ 2 การทำระดับด้วยไม้ระดับปกติ โดยใช้เกณฑ์งานระดับชั้นที่ 3 ตามมาตรฐาน Federal Geodetic Control Committee 1984 ที่ยอมให้คลาดเคลื่อนเข้าบรรจบได้ไม่เกิน 12 มิลลิเมตร หลังจากนั้นวิเคราะห์ความคลาดเคลื่อนเข้าบรรจบด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างของความคลาดเคลื่อนเข้าบรรจบจากการทำระดับทั้งสองวิธี &nbsp;ด้วย t-test ผลการวิจัยพบว่า การทำระดับด้วยไม้ระดับที่ต่อความยาวด้วยเศษวัสดุมีความคลาดเคลื่อนเข้าบรรจบเฉลี่ย 6.2 มิลลิเมตร ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.7 มิลลิเมตร และการทำระดับด้วยไม้ระดับปกติมีความคลาดเคลื่อนเข้าบรรจบเฉลี่ย 5.7 มิลลิเมตร ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.5 มิลลิเมตร ซึ่งผ่านเกณฑ์งานระดับชั้นที่ 3 ที่ยอมให้คลาดเคลื่อนเข้าบรรจบได้ไม่เกิน 22 มิลลิเมตร ทั้งสองวิธี และเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของความคลาดเคลื่อนเข้าบรรจบระหว่างการทำระดับด้วยไม้ระดับที่ต่อความยาวด้วยเศษวัสดุกับการทำระดับด้วยไม้ระดับปกติ พบว่า &nbsp;&nbsp;ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่าการทำระดับด้วยไม้ระดับที่ต่อความยาวด้วย&nbsp; เศษวัสดุที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีความถูกต้องเข้าบรรจบตามเกณฑ์งานระดับชั้นที่ 3 ตามมาตรฐาน Federal Geodetic Control Committee 1984 สามารถนำไม้ระดับที่ต่อความยาวด้วยเศษวัสดุที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นไปใช้แก้ปัญหาในการทำระดับในพื้นที่ที่มีความลาดชันมากหรือพื้นที่ที่ต่างระดับกันมากที่ความยาวของไม้ระดับมีความยาวไม่ถึงแนวแกนกล้องระดับ และเป็นการประหยัดงบประมาณในการซื้อไม้ระดับใหม่ที่มีความยาวมากกว่า 3 เมตร</p> สมภพ เพ็ชรดี ณัฏฐ์วุฒิ อริยะจิณโณ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-12-25 2023-12-25 8 2 63 74 10.14456/journalindus.2023.18 การพัฒนาระบบควบคุมการจ่ายน้ำอัตโนมัติสำหรับการปลูกพืชถั่วลิสง https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/251579 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพ คุณภาพของระบบควบคุมการจ่ายน้ำอัตโนมัติสำหรับการปลูกพืชถั่วลิสง และศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบควบคุมการจ่ายน้ำอัตโนมัติสำหรับการปลูกพืชถั่วลิสง กระบวนการวิจัยได้ดำเนินการผ่านการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน จากนั้นนำไปพัฒนาระบบควบคุมการจ่ายน้ำอัตโนมัติสำหรับการปลูกพืชถั่วลิสง เสร็จแล้วนำระบบไปถ่ายทอดเทคโนโลยีและประเมินหาความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อการใช้งานของระบบควบคุมการจ่ายน้ำอัตโนมัติสำหรับการปลูกพืชถั่วลิสง กับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นอาจารย์ นักศึกษา เจ้าหน้าที่ และกลุ่มเกษตรกรที่สนใจ จำนวน 30 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ด้วยสถิติค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาระบบควบคุมการจ่ายน้ำอัตโนมัติสำหรับการปลูกพืชถั่วลิสง จากการประเมินความพึงพอใจการใช้งานของตู้ควบคุมระบบควบคุมการจ่ายน้ำอัตโนมัติสำหรับการปลูกพืชถั่วลิสง โดยภาพรวมพบว่า มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ที่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.98 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.05 โดยที่ด้านประโยชน์และการใช้งานมีความพึงพอใจในระดับที่มากที่สุด ที่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.00 รองลงมา ด้านความสามารถของระบบมีความพึงพอใจในระดับที่มากที่สุด ที่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.00 ด้านความสำคัญของเทคโนโลยี มีความพึงพอใจในระดับที่มากที่สุด ที่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.93 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.15 ตามลำดับ</p> <p>ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การพัฒนาระบบควบคุมการจ่ายน้ำอัตโนมัติสำหรับการปลูกพืชถั่วลิสง ที่พัฒนาขึ้น สามารถดูแลการเจริญเติบโตของถั่วลิสงได้อย่างเหมาะสม และประหยัดเวลาในการดูแลถั่วลิสง สร้างความสะดวกสบายและแบ่งเบาภาระของเกษตรกรในการควบคุมสั่งการเปิด-ปิดการให้น้ำในการปลูกถั่วลิสงได้ และยังสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างมีคุณภาพ</p> สุชาติ ดุมนิล อภิชัย ไพรสินธุ์ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-12-28 2023-12-28 8 2 75 85 10.14456/journalindus.2023.19 การพัฒนาระบบควบคุมฐานตั้งกล้องโทรทรรศน์ทางไกลอัตโนมัติผ่านเว็บแอปพลิเคชั่น https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/251562 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบควบคุมฐานตั้งกล้องโทรทรรศน์ทางไกลอัตโนมัติผ่านเว็บ แอปพลิเคชั่น ระบบฐานตั้งกล้องสามารถควบคุมการหมุนกล้องโทรทรรศน์ ทั้งแกนหมุนในแนวราบ (มุมอะซิมุธ) และแกนหมุนในแนวดิ่ง(มุมเงย) แบบอัตโนมัติ และแสดงภาพวัตถุบนท้องฟ้าที่กล้องโทรทรรศน์ส่องผ่านด้วยเว็บ&nbsp;&nbsp; เบราเซอร์ และยังสามารถถ่ายภาพส่งมายังแอพพลิเคชั่นไลน์ ทำให้การศึกษาด้านดาราศาสตร์ สามารถทำพร้อมกัน ได้หลายคน โดยใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต และไมโครคอนโทรลเลอร์ จากผลการทดสอบ พบว่า ต้นแบบระบบควบคุมฐานตั้งกล้องโทรทรรศน์ทางไกลอัตโนมัติผ่านเว็บแอปพลิเคชั่น สามารถควบคุมการหมุนของฐานตั้งกล้องโทรทรรศน์ให้หมุนตามมุมอซิมุธและมุมเงย ให้เคลื่อนที่ได้ทีละ 1 องศาด้วยการกดปุ่มบนเว็บแอปพลิเคชันที่พัฒนาในครั้งนี้ และในการค้นหาตำแหน่งดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ พบว่า การค้นหาตำแหน่งดาวมีความคลาดเคลื่อนของมุมอะซิมุธเฉลี่ย สำหรับดาวไรเจล 2.26%&nbsp; ดาวบีเทลจุส 2.97%&nbsp; ดาวพฤหัส 1.13% และ ดาวอังคาร 0.91% ส่วนความคลาดเคลื่อนของมุมเงยเฉลย สำหรับดาวไรเจล 3.45%&nbsp; ดาวบีเทลจุส 3.12% ดาวพฤหัส 8.42% และดาวอังคาร 2.62%</p> ธีรถวัลย์ ปานกลาง รัตนสุดา สุภดนัยสร Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-12-14 2023-12-14 8 2 86 97 10.14456/journalindus.2023.20 การพัฒนาแอปพลิเคชัน สำหรับการซื้อขายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/250109 <p>บทความวิจัยเรื่องนี้ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแอปพลิเคชัน สำหรับการซื้อขายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ และ 2) ประเมินคุณภาพแอปพลิเคชัน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริโภคสินค้าเกษตรและผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ ในจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 30 คน สุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ<strong>&nbsp; </strong>เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แอปพลิเคชัน และแบบประเมินคุณภาพแอปพลิเคชัน สำหรับ การซื้อขายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ในการดำเนินการวิจัย คณะผู้ได้ศึกษาวิธีที่เหมาะสมในการซื้อขายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาดำเนินการพัฒนาแอปพลิเคชัน ตามกรอบแนวคิดวงจรพัฒนาระบบ SDLC และนำไปประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านการพัฒนาระบบสารสนเทศ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการซื้อขายสินค้าเกษตรอินทรีย์ สถิติที่ใช้เป็นสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย</p> <ol> <li class="show">ผลการพัฒนาแอปพลิเคชัน สำหรับการซื้อขายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ พบว่า ได้แอปพลิเคชันที่เป็นเทคโนโลยี Mobile Application สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ ใช้งานได้กับโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ทั้งในระบบ iOS และ ระบบ Android สามารถตอบโจทย์การซื้อ-การขายผลผลิตทางการเกษตรในระบบเกษตรอินทรีย์ พัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภค เพิ่มศักยภาพทางการตลาด สร้างเครือข่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้</li> <li class="show">2. ผลการประเมินคุณภาพแอปพลิเคชัน สำหรับการซื้อขายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ จากผู้เชี่ยวชาญ พบว่า คุณภาพแอปพลิเคชัน สำหรับการซื้อขายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.73 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.44</li> </ol> อรฉัตร อินสว่าง นิคม ลนขุนทด เที่ยงธรรม สิทธิจันทเสน อัษฎา วรรณกายนต์ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-12-06 2023-12-06 8 2 98 110 10.14456/journalindus.2023.21 การวิเคราะห์การไหลของกำลังไฟฟ้าในระบบจำหน่ายรัศมีไม่ได้ดุลที่มีส่วนแบ่งโหลดยานยนต์ไฟฟ้า https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/249677 <p>&nbsp;</p> <p>บทความนี้นำเสนอแบบจำลององค์ประกอบของระบบจำหน่ายสามเฟสไม่ได้ดุล และการวิเคราะห์การไหลของกำลังไฟฟ้าด้วยวิธีกวาดย้อนกลับและไปหน้า&nbsp; แบบจำลองขององค์ประกอบที่สำคัญประกอบไปด้วยแหล่งกำเนิด หม้อแปลง สายส่งจำหน่าย โหลดสายป้อน&nbsp; และโหลดยานยนต์ไฟฟ้า (electric vehicles, EVs)&nbsp; โดยเฉพาะ EVs&nbsp; ถือได้ว่าเป็นโหลดที่สำคัญของระบบจำหน่ายในอนาคต&nbsp; ผลจากการจำลองพบว่าความถูกต้องของผลลัพ์มีค่าใกล้เคียงในระดับที่ยอมรับได้เมื่อเปรียบเทียบกับงานวิจัยอ้างอิง&nbsp; อัตราส่วนแบ่งของโหลด EVs ที่มากกว่าส่งผลกระทบต่อขนาดของแรงดันมากกว่าอัตราส่วนแบ่งของโหลด EVs ที่น้อยกว่า&nbsp; ดังนั้นการวิเคราะห์การไหลของกำลังไฟฟ้าที่มีระดับส่วนแบ่งโหลด EVs จึงเป็นสิ่งสำคัญ&nbsp; ควรได้รับพัฒนาให้มีความถูกต้องและแม่นยำสำหรับการดำเนินการของระบบจำหน่ายในอนาคต</p> ณัฐพงศ์ บุตรธนู บรรณญัติ บริบูรณ์ นพรัตน์ ธรรมวงษา นิวัตร ภูมิพันธุ์ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-12-06 2023-12-06 8 2 111 123 10.14456/journalindus.2023.22 การศึกษาการแก้ไขพฤติกรรมขับรถจักรยานยนต์ย้อนศรโดยการออกแบบเชิงเรขาคณิต ของถนนและการบังคับใช้กฎหมายด้วยเทคโนโลยีกล้อง AI https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/251327 <p>ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก พฤติกรรมการขับรถจักรยานยนต์ย้อนศรมักพบเห็นมากตามท้องถนน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยความเสี่ยงที่ก่อให้อุบัติเหตุทางถนน การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาพฤติกรรมเส้นทางการขับขี่รถจักรยานยนต์ และเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขพฤติกรรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ย้อนศรโดยการใช้เทคโนโลยีกล้อง AI และการออกแบบเชิงเรขาคณิตของถนน โดยมีพื้นที่ศึกษาคือจุดตัดทางรถไฟกับถนนศรีจันทร์ในเขตเมืองขอนแก่น เก็บข้อมูลโดยการใช้ภาพถ่ายทางดาวเทียมและข้อมูลภาคสนามจากการลงพื้นที่สำรวจ ข้อมูลวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบทีเทส (t-test) เพื่อนำมาออกแบบการติดตั้งเทคโนโลยีกล้อง AI และออกแบบเชิงเรขาคณิตของถนนโดยการใช้หลักวิศวกรรมการทาง ผลการศึกษาพบว่า จากพฤติกรรมเส้นทางการขับขี่รถจักรยานยนต์ระยะเส้นทางจากภาพถ่ายดาวเทียมทั้งหมด 6 รูปแบบ ระยะเส้นทางถูกกฎจราจรของจุดกลับรถเฉพาะรถจักรยานยนต์มีความแตกต่างที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt; 0.05) การออกแบบการติดตั้งเทคโนโลยีกล้อง AI ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานการออกแบบและติดตั้งป้ายจราจร และการออกแบบทางเรขาคณิตของจุดกลับรถเฉพาะรถจักรยานยนต์ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยสำหรับขั้นตอนการออกแบบ ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่าจุดกลับรถเฉพาะรถจักรยานยนต์และมาตรการการบังคับใช้กฎหมายด้วยเทคโนโลยีกล้อง AI จะช่วยสนับสนุนให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ลดพฤติกรรมการขับขี่ย้อนศร</p> ศิรินภา จันทรโคตร เจษฎา คำผอง Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-12-15 2023-12-15 8 2 124 136 10.14456/journalindus.2023.23 การออกแบบและสร้างชุดฝึกควบคุมระบบรดน้ำอัตโนมัติ กรณีศึกษาสวนส้มโอ ตำบลบ้านแท่น อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/250758 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาคุณภาพชุดฝึกควบคุมระบบรดน้ำอัตโนมัติ สำหรับสวนส้มโอ ตำบลบ้านแท่น อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ และ 2) ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนต่อชุดฝึกควบคุมระบบรดน้ำอัตโนมัติ สำหรับสวนส้มโอ ตำบลบ้านแท่น อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล โครงการจัดตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ จำนวนทั้งหมด 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ชุดฝึกควบคุมระบบรดน้ำอัตโนมัติ แบบประเมินคุณภาพชุดฝึกควบคุมระบบรดน้ำอัตโนมัติ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อชุดฝึกควบคุมระบบรดน้ำอัตโนมัติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพชุดฝึกโดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านโครงสร้างมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.23) ด้านการใช้งานมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.75) ด้านเนื้อหามีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.66) และคุณภาพของชุดฝึกโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.55) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกควบคุมระบบรดน้ำอัตโนมัติ สำหรับสวนส้มโอ ตำบลบ้านแท่น อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.51)</p> ศรัณยู เหลาพา วิราวรรณ พุทธมาตย์ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-11-25 2023-11-25 8 2 137 148 10.14456/journalindus.2023.24 องค์ความรู้ด้านงานหัตถกรรมจักสานไม้ไผ่และภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มชมรมผู้สูงอายุตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/251336 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาบริบทขององค์ความรู้ด้านงานหัตถกรรมจักสานไม้ไผ่จากกลุ่มชมรมผู้สูงอายุภูมิปัญญาในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จักสานหัตกรรมไม้ไผ่เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ และเพื่อหาแนวทางการพัฒนาภูมิปัญญาในท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์จักสานหัตกรรมไม้ไผ่เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปฏิบัติการ ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ กลุ่มชมรมผู้สูงอายุ ที่มีองค์ความรู้ภูมิปัญญาด้านหัตถกรรมเครื่องจักสาน จำนวน 50 คน ใช้เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบไปด้วย แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม แบบสัมภาษณ์ชนิดกึ่งโครงสร้าง การจัดเวที การออกแบบผลิตภัณฑ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ และวิเคราะห์เนื้อหา สรุปผลการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ ดังนี้</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มชมรมผู้สูงอายุตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ มีเอกลักษณ์ของที่แสดงถึงความเป็นตัวตนซึ่งถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และการยอมรับร่วมกัน และถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจนกลายเป็นวัฒนธรรมการดำรงชีวิตของคนในชุมชน อาชีพหลัก คือ เกษตรกรรม ทำนาปี ละครั้ง อาชีพเสริมกลุ่มผู้หญิงทอผ้าและกลุ่มผู้ชายจักสาน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาด้านหัตถกรรมเครื่องจักสานผู้สูงอายุสืบทอดการจักสานจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น มีอุปกรณ์ในการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องจักสานที่ไม่ยุ่งยาก ประกอบด้วย มีด เครื่องเรียดไม้ไผ่ ทำเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน ได้แก่ ตุ้มเป็นเครื่องมือจักสานขนาดใหญ่ มีรูปทรงกรวยตั้ง ชะลอมใส่ไก่ เล้าไก่ไข่ และตะกร้า ขายได้เฉพาะในชุมชนยังไม่มีตลาดภายนอก และยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้เสริมให้กับผู้สูงอายุโดยนำไปจำหน่ายในราคาที่ไม่แพง เนื่องจากสินค้าไม่มีความประณีต ผลิตภัณฑ์มีรูปแบบไม่หลากหลาย ไม่มีความแปลกใหม่ และขาดเอกลักษณ์ของชุมชน ผู้วิจัยได้ออกแบบภายใต้กรอบแนวคิดเพื่อหาแนวทางการพัฒนาภูมิปัญญาในท้องถิ่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ของชุมชนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์มีรูปแบบที่ทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการซื้อ ร่วมกับกลุ่มชมรมผู้สูงอายุ วิเคราะห์คัดสรรผลิตภัณฑ์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาแนวทางในการพัฒนา โดยใช้หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ ผลงานออกแบบผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจักสานสำหรับงานตกแต่งและใช้สอยได้เป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ประเภท โคมไฟแขวน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและลวดลายเดิม ๆ ให้เป็นงานที่แปลกใหม่มีความทันสมัย มีเอกลักษณ์ของชุมชน รูปแบบเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย ใช้งานสะดวก และมีความเป็นไปได้ในการผลิต</p> <p>&nbsp;</p> มะโนด สุขตาม ยุพดี สินมาก อภินันทิชัย โจมสติ บัญชา ชื่นจิต กัญญา เยี่ยมสวัสดิ์ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2023-12-16 2023-12-16 8 2 149 159 10.14456/journalindus.2023.25