วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus <p>วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">ISSN 3027-6322 </span><span style="font-size: 0.875rem;">(Online)</span></p> <p>ISSN 3027-6314 <span style="font-size: 0.875rem;">(Print)</span></p> <p>กำหนดออก : 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p>มีวัตถุประสงค์ : เพื่อรวบรวม และเผยแพร่ ผลงานทางวิชาการ โดยตีพิมพ์บทความวิจัย และบทความทางวิชาการ ด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมศึกษา นวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม</p> <p>เจ้าของ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์</p> th-TH journalindus@srru.ac.th (ผู้ช่วยศาสตรตราจารย์ ดร. ณัฐกานต์ พวงไพบูลย์) saengdeaun.t@srru.ac.th (นางสาวแสงเดือน ธรรมวัตร) Fri, 06 Jun 2025 14:21:42 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 [RETRACTED ARTICLE]การคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคตของเขตพื้นที่ลุ่มน้ำเลย https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258165 <p>การเปิดเผยข้อมูลสำคัญผิดพลาดที่ส่งผลกระทบต่อการตีความ หรือให้คำแนะนำแก่ผู้อ่านไม่เหมาะสม</p> ชัชชัย พีรกมล, ศักดิ์ชาย พวงจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258165 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกและเศษคอนกรีตจากการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเป็น ส่วนผสมในวัสดุบล๊อกปูพื้นทางเท้า https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/256240 <p class="p1"> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตบล็อกคอนกรีตสำหรับปูพื้นทางเท้าที่มีส่วนผสม<br />ของขยะพลาสติกและเศษคอนกรีตเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าขยะพลาสติกและเศษคอนกรีตจากการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง <br />ตลอดจนทดสอบคุณสมบัติของบล็อกปูพื ้นทางเท้าเปรียบเทียบกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 827-2531 <br />อัตราส่วนผสมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ต่อเศษคอนกรีตต่อขยะพลาสติก 1:1:0, 1:1:0.01, 1:1:0.25, 1:1:0.50 และ <br />1:1:1 มาทำการผสมขึ ้นรูปในแต่ละอัตราส่วนผสม และทำการทดสอบคุณสมบัติทางด้านกายภาพ ขนาดชิ ้นงาน <br />ในการทดสอบ 5x5x5 เซนติเมตรการทดสอบในงานวิจัยนี ้ ประกอบด้วย การขึ ้ นรูปชิ ้ นงาน <br />การรับกำลังแรงอัดคอนกรีตการดูดกลืนน้ำน้ำหนัก ผลการศึกษาพบว่าชิ ้นงานที ่ขึ ้นรูปมาจากอัตราส่วนการผสม <br />ของปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ต่อเศษคอนกรีตต่อขยะถุงพลาสติกใน อัตราส่วน 1:1:0.01 โดยน้ำหนัก <br />การรับกำลังแรงอัดการดูดกลืนน้ำเหมาะสมในการผลิตบล็อกปูพื ้นทางเท้าจากขยะพลาสติกและเศษคอนกรีตจาก <br />การรื ้อถอนสิ ่งปลูกสร้างโดยมีค่าการรับกำลังแรงอัดเฉลี ่ย 41.49 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร การดูดกลืนน้ำ 5.11 <br />เปอร์เซ็นต์ น้ำหนัก 1.045 กิโลกรัมต่อก้อน ซึ ่งเป็นไปตามมาตรฐานบล็อกคอนกรีตปูพื ้น มอก. 827-2531 <br />และจากการวิเคราะห์ความคุ ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในการผลิตบล็อกปูพื ้นทางเท้ามีต้นทุนการผลิต 5.00 <br />บาทต่อก้อน ซึ ่งมีราคาถูกกว่ามีจำหน่ายในท้องตลาดจากเปรียบเทียบในด้านการนำที ่ขยะพลาสติก <br />และเศษคอนกรีตไปใช้ประโยชน์แทนการฝังกลบหรือนำไปกำจัดในรูปแบบอื ่นที ่อาจก่อให้ เกิดปัญหา <br />สิ่งแวดล้อมจึงเป็นวิธีช่วยลดปัญหาการตกค้างของขยะพลาสติกที่และเศษวัสดุก่อสร้างในสิ่งแวดล้อมต่อไป</p> <p class="p1"> This research aims to study the feasibility of producing concrete paving blocks that incorporate concrete debris and plastic waste. The goal is to add value to plastic waste and concrete debris from demolished structures while also testing the properties of these paving blocks against the Industrial Product Standard 827-2531. The ratios of portland cement to concrete debris to plastic bags were set at 1:1:1, 1:1:0.5, 1:1:0.25, 1:1:0, and 1:1:0.01. Each mixture was formed into test blocks with dimensions of 5x5x5 cm, and the physical properties were evaluated. The tests included block formation, concrete compressive strength, water absorption, and weight. The study found that the block made with a ratio of portland cement to concrete debris to plastic bags at 1:1:0.01 by weight was suitable for producing paving blocks. It exhibited an average compressive strength of 41.49 kg/cm², water absorption of 5.11%, and a weight of 1.045 kg per block, meeting the requirements of the paving block standard TIS 827-2531. Additionally, an economic feasibility analysis showed that the production cost per block was 5.00 baht, which is cheaper than the market price. When comparing the reuse of concrete debris and plastic waste to landfilling or other disposal methods that may cause environmental issues, this method proves to be an environmentally friendly solution and offers maximum benefits by reducing environmental impact.</p> พิณทิพย์ แก้วแกมทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/256240 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การทดสอบสมรรถนะการอบแห้งสมุนไพรโดยวิธีแลกเปลี่ยนความร้อน แบบเชลล์และท่อ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255752 <p>การวิจัยครั้งนี้เพื่อทดสอบสมรรถนะการอบแห้งสมุนไพรโดยวิธีแลกเปลี่ยนความร้อนแบบเชลล์และท่อ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาตัวแปรของเวลาและอุณหภูมิที่เหมาะสมในการอบแห้สมุนไพรเพื่อให้ได้สมุนไพรที่มีความชื้นตามมาตรฐาน สมุนไพรแห้ง มผช. 480/2547 ดังนี้</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การศึกษาอุณหภูมิที่เหมาะสมในการอบแห้ง ได้แก่ 45, 55, และ 65&nbsp;&nbsp; และความเร็วอากาศอบแห้ง 1, 2, และ 3 m/s เฉลี่ยทั้ง 3 ครั้ง พบว่า สมุนไพรมีปริมาณความชื้นเริ่มต้นที่ 39% พบว่ามีอัตราการแห้งโดยใช้อุณหภูมิอบแห้งเฉลี่ยเร็วที่สุดคือ 65&nbsp;&nbsp; ใช้เวลาเฉลี่ยในการอบแห้ง 8 ชั่วโมง พบว่าสมุนไพรมีความชื้นสุดท้ายเฉลี่ย 12%,&nbsp; อุณหภูมิในการอบแห้งเฉลี่ย 55&nbsp;&nbsp;ใช้เวลาเฉลี่ยในการอบแห้ง 9 ชั่วโมง พบว่าสมุนไพรมีความชื้นสุดท้ายเฉลี่ย 12%, และอุณหภูมิในการอบแห้งเฉลี่ย 45&nbsp; &nbsp;&nbsp;ใช้เวลาเฉลี่ยในการอบแห้ง 12 ชั่วโมง พบว่าสมุนไพรมีความชื้นสุดท้ายเฉลี่ย 12%</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาความเร็วลม อุณหภูมิ และเวลาที่เหมาะสมในการอบแห้งสมุนไพรอยู่ที่ ความเร็วลมเฉลี่ย 2 m/s อุณหภูมิที่ใช้ 45&nbsp; &nbsp;&nbsp;เวลาเฉลี่ยในการอบแห้ง 12 ชั่วโมทำให้ได้สมุนไพรที่มีอัตราการแห้งสม่ำเสมอเท่ากัน และคงสีและกลิ่นได้ตามมาตรฐานสมุนไพรแห้ง</p> ภานุเมศวร์ สุขศรีศิริวัชร, พงศ์ไกร วรรณตรง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255752 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องรีดยางพาราสำหรับกลุ่มเกษตรกรขนาดย่อม ด้วยอินเวอร์เตอร์สามเฟส https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257701 <p>บทความนี้นำเสนอการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องรีดแผ่นยางพาราด้วยอินเวอร์เตอร์สามเฟส และศึกษาความคุ้มค่าความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์ เพื่อนำไปสู่การใช้งานจริงของกลุ่มเกษตรกรสวนยางขนาดย่อมผลการทดลองพบว่าเครื่องที่ปรับปรุงแล้วมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงขึ้น ส่งผลให้ประหยัดพลังงานได้ 66.5 เปอร์เซ็นต์กรณีที่ไม่ขับโหลด และประหยัดพลังงาน 64.57 เปอร์เซ็นต์ กรณีขับโหลด ทำให้เกษตรกรสวนยางสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 48.22 ในกระบวนการผลิตยางแผ่น นอกจากนี้ผลการทดลองยังบ่งชี้ว่าความเร็วลูกกลิ้ง 51 รอบต่อนาที ทำให้แผ่นยางฉีกขาดระหว่างรีดแผ่นยางน้อยที่สุด และแผ่นยางพาราที่ได้มีความหนาสม่ำเสมอ เป็นไปตามมาตรฐานแผ่นยางชั้น 1 ซึ่งจะทำให้เกษตรกรขายยางแผ่นได้ราคาที่สูงขึ้น</p> วุฒิภัทร จำรัสแนว, วันชาติ สุพรมพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257701 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเครื่องหลอมโลหะโดยใช้หลักการให้ความร้อนแบบเหนี่ยวนำ สำหรับกลุ่มวิสาหกิจเครื่องประดับจังหวัดสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257664 <p>งานวิจัยนี้นำเสนอการพัฒนาเครื่องหลอมโลหะโดยใช้หลักการให้ความร้อนแบบเหนี่ยวนำสำหรับกลุ่มวิสาหกิจเครื่องประดับจังหวัดสุรินทร์ &nbsp;โดยการศึกษา ออกแบบและสร้างเครื่องหลอมโลหะด้วยหลักการให้ความร้อนแบบเหนี่ยวนำ เพื่อช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการหลอมเนื่องจากสามารถควบคุมอุณหภูมิขณะหลอมได้และหาประสิทธิภาพของเครื่องหลอมโลหะโดยใช้หลักการให้ความร้อนแบบเหนี่ยวนำ ผลการทดสอบประสิทธิภาพทางไฟฟ้าของเครื่องหลอมโลหะโดยใช้หลักการให้ความร้อนแบบเหนี่ยวนำ พิจารณาจากการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่อง โดยพิจารณาจากกำลังไฟฟ้าขาเข้า (Input Power) เปรียบเทียบกับค่าความสูญเสียที่กำลังไฟฟ้าขาออก (Output Power) มีประสิทธิภาพสูงสุดคือที่ 90.47 เปอร์เซ็นต์ ที่ความถี่ 28.67 kHz ที่กำลังไฟฟ้าขาเข้า 1,260 วัตต์ สามารถให้ความร้อนในการหลอมทองเหลืองขนาด 500 กรัม ที่บรรจุในเบ้ากราไฟท์ จากอุณหภูมิห้องถึงจุดหลอมละลาย 900 <sup>o</sup>C<sup> &nbsp;</sup>ในเวลา 10 นาที</p> ทรงยศ หวังชอบ, ศุภวัชร นิยมพันธ์ุ, กนกกานต์ ลายสนธิ์, สุรเชษฐ์ วงศ์ชัยประทุม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257664 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบการเบิก – คืนเครื่องมือช่างแผนกซ่อมบำรุงบริษัทผลิตชิ้นส่วน ยานยนต์โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255593 <p>วิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อบันทึกข้อมูลการเบิก – คืนเครื่องมือช่างแผนกซ่อมบำรุงโดยการใช้เทคโนโลยี QR Code 2) เพื่อจัดทำคู่มือการใช้งาน QR Code เบิก – คืนเครื่องมือช่างแผนกซ่อมบำรุง และ 3) เพื่อลดจำนวนการสูญหายเครื่องมือช่างแผนกซ่อมบำรุง จากการเก็บข้อมูลแผนกซ่อมบำรุง พบว่า การบันทึกข้อมูลการเบิก - คืนไม่ต่อเนื่อง ผู้วิจัยจึงวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาด้วยผังก้างปลา หลักการทำไม - ทำไม ผู้วิจัยจึงแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการสร้างโปรแกรม VS Code ในการออกแบบเว็บไซต์ การสร้าง QR Code และการจัดทำคู่มือการใช้งาน QR Code เบิก – คืนเครื่องมือช่าง ผลการวิจัย 1) ก่อนการปรับปรุง การบันทึกข้อมูลการเบิก – คืนเครื่องมือช่าง ใช้การบันทึกลงกระดาษแบบฟอร์มที่กำหนด โดยข้อมูลการเบิก - คืนสูญหายเดือนมกราคม - มิถุนายน และกันยายน – ธันวาคม 2023 รวมจำนวน 10 เดือน ซึ่งหลังการปรับปรุง โดยการใช้เทคโนโลยี QR Code การบันทึกข้อมูลการเบิก – คืนเครื่องมือช่าง จำนวน 2 เดือน ได้แก่ เดือนมกราคม 2024 มีจำนวนการเบิก – คืน จำนวน 29 ครั้ง และเดือนกุมภาพันธ์ 2024 มีจำนวนการเบิก – คืน จำนวน 31 ครั้ง จากการใช้เทคโนโลยี QR Code บริษัทมีฐานข้อมูลเครื่องมือช่างที่ถูกต้อง 100 % และมีการบันทึกอย่างต่อเนื่อง 2) การติดตั้ง QR Code และคู่มือการใช้งานในแผนกช่างซ่อมบำรุงให้พนักงานเข้าใจขั้นตอนการทำงานที่ถูกต้อง และ 3) แผนกช่างซ่อมบำรุงมีการขอสั่งซื้อเครื่องมือช่างที่เกิดการสูญหาย มูลค่า 2,093 บาท และหลังการปรับปรุง การใช้เทคโนโลยี QR Code ไม่มีการขอสั่งซื้อเครื่องมือช่างที่เกิดจากการสูญหาย ซึ่งบริษัทสามารถลดการสั่งซื้อเฉลี่ยเดือนละ 209.3 บาท และปีละ 2,511.6 บาท/ปี</p> สมจินต์ อักษรธรรม, วรเทพ ตรีวิจิตร, เถลิง พลเจริญ, สมศักดิ์ มีนคร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255593 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติแบบออนไลน์สำหรับตู้อบ โดยใช้เทคนิคอินฟราเรดร่วมกับลมร้อน https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255607 <p>งานวิจัยนี้เป็นการพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติแบบออนไลน์สำหรับตู้อบโดยใช้เทคนิคอินฟราเรดร่วมกับลมร้อน ระบบสามารถควบคุมได้ 2 ทาง คือ ควบคุมผ่านหน้าตู้ระบบรับคำสั่งจากการกดแป้นคีย์แพด และควบคุมออนไลน์โดยใช้แอปพลิเคชัน Blynk การทำงานของระบบสามารถตั้งค่าการทำงานได้&nbsp; 2 รูปแบบ คือ&nbsp; &nbsp;1.ระบบสามารถทำงานได้อัตโนมัติ โดยการตั้งค่า 2 ปัจจัย ได้แก่ ระยะเวลาในการอบ และอุณหภูมิการอบ 2.ระบบสามารถเปิดหรือปิดอุปกรณ์ด้วยมือตามความต้องการของผู้ใช้ ในการออกแบบได้ประยุกต์ใช้ไมโครคอลโทรลเลอร์แบบ Arduino รุ่น NodeMCU ESP8266 เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยมีสวิสซ์ในการควบคุมการเปิดหรือปิดของระบบ ซึ่งผลจากการทดลองประเมินประสิทธิภาพการนำไปใช้งานพบว่าตู้อบโดยใช้เทคนิคอินฟราเรดร่วมกับลมร้อนสามารถอบแห้งได้เร็วกว่าระบบเดิมด้วยแสงอาทิตย์ 1.02 เท่า ระบบควบคุมอัตโนมัติแบบออนไลน์สำหรับตู้อบโดยใช้เทคนิคอินฟราเรดร่วมกับลมร้อน สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตปรับปรุงคุณภาพของการอบและผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการควบคุมระบบการเปิดหรือปิดโดยใช้ระบบอัตโนมัติทำให้สะดวกมากขึ้น</p> สราญพงศ์ หนูยิ้มซ้าย, ธันยพร ชูแก้ว, ธนกร พันธุ์เลิศ, จิรวัฒน์ ฉิมลี, บัณฑิตา ภู่ทรัพย์มี โปณะทอง, สุธาพร เกตุพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/255607 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพเครื่องสับใบยางพารา https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257007 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้าง และ 2) ทดสอบประสิทธิภาพเครื่องสับใบยางพารา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) เครื่องสับใบยางพารา และ 2) ตารางทดสอบประสิทธิภาพ ผู้วิจัยได้ออกแบบและสร้างเครื่องสับใบยางพารา ให้มีความสามารถในการสับใบยางพาราให้มีขนาดที่เล็กลง จากนั้นนำไปทดสอบประสิทธิภาพ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ย</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า 1) ได้เครื่องจักรที่เป็นอุปกรณ์ทางการเกษตรที่มีขนาด (กว้างxยาวxสูง) 400x1,003x700 มิลลิเมตร มีใบมีดสับ 8 เล่ม ช่องป้อนใบยางพาราเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ชุดต้นกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า Single Phase 220V/50Hz กำลังมอเตอร์ 5 แรงม้า &nbsp;ความเร็วรอบ 1,500 RPM สามารถปรับความเร็วรอบ&nbsp;&nbsp; ได้ 2 ระดับ คือ ที่ความเร็วรอบ 488 RPM และ 950 RPM และมีล้อทำให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย 2) ประสิทธิภาพเครื่องสับใบยางพารา ทดสอบสับใบยางพาราที่ความเร็วรอบตามที่กำหนด จำนวน 5 ครั้ง ๆ ละ 1 กิโลกรัม ดังนี้ (1) ที่ความเร็วรอบ 488 รอบ/นาที พบว่า ความละเอียดใบยางพาราเฉลี่ยเท่ากับ 9.45 มิลลิเมตร น้ำหนักหลังการสับเฉลี่ยเท่ากับ 0.96 กิโลกรัม อัตราสูญเสียเฉลี่ยเท่ากับ 0.04 กิโลกรัม ใช้เวลาในการสับเฉลี่ยเท่ากับ 1.38 นาที และประสิทธิภาพของเครื่อง เท่ากับ 0.92 หรือ 92% และ (2) ประสิทธิภาพเครื่อง ที่ความเร็วรอบ 950 รอบ/นาที พบว่า ความละเอียดใบยางพาราเฉลี่ยเท่ากับ 8.38 มิลลิเมตร น้ำหนักหลังการสับมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.87 กิโลกรัม อัตราสูญเสียเฉลี่ยเท่ากับ 0.13 กิโลกรัม ใช้เวลาในการสับเฉลี่ย เท่ากับ 1.18 นาที และประสิทธิภาพของเครื่อง เท่ากับ 0.87 หรือ 87%</p> อธิรัช ลี้ตระกูล, จีระศักดิ์ พิศเพ็ง, เฉลิมเจษฎ์ สมานุหัตถ์, วิชัย แหวนเพชร, ชาติชาย จรัญศิริไพศาล, อัษฎา วรรณกายนต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257007 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีสะอาดของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ภาคตะวันตก https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258337 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีสะอาดของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ภาคตะวันตก และเพื่อลดความสูญเปล่าในกระบวนการผลิตทางการเกษตรตามแนวคิดเทคโนโลยีสะอาด &nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการทดลอง พบว่า กำลังการผลิตของเครื่องบดดินสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้สูงถึง 333.33 กิโลกรัมต่อชั่วโมง หรือประมาณ 2,000 กิโลกรัมต่อวัน และมีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 94.68% การปรับปรุงกระบวนการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ช่วยลดขั้นตอนจาก 6 ขั้นตอนเหลือ 5 ขั้นตอน ลดจำนวนพนักงานจาก 6 คนเหลือ 4 คน และเพิ่มกำลังการผลิตจาก 500 กิโลกรัมต่อวันเป็น 2,000 กิโลกรัมต่อวัน การประเมินความเหมาะสมของเครื่องบดดิน พบว่า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะในด้านระบบการทำงาน ด้านการออกแบบ และด้านการบำรุงรักษา</p> รุ่งอรุณ พรเจริญ, ธิติ ธาราสุข, ชลธิศ ปิติภูมิสุขสันต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258337 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการจัดการอะไหล่คงคลังของงานซ่อมบำรุงเครื่องจักร https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257147 <p>การวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อหาความสูญเปล่าในกระบวนการจัดการอะไหล่คงคลังของงานซ่อมบำรุง และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านเวลา , ด้านขั้นตอน , ด้านระยะทาง ในกระบวนการจัดการอะไหล่คงคลังของงานซ่อมบำรุง ดำเนินการวิจัยด้วยการศึกษาสภาพของปัญหาจากบริษัทกรณีศึกษาแห่งหนึ่ง โดยใช้ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาด้วยแผนผังแสดงเหตุและผล และใช้แผนภูมิกระบวนการไหลของกระบวนการผลิตร่วมกับหลักการ ECRS มาประยุคใช้ในการปรับปรุงกระบวนการ</p> <p> ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ จากการใช้แผนผังแสดงเหตุและผลมาวิเคราะห์หาสาเหตุของความสูญเปล่า มีสาเหตุจาก วัตถุดิบ(อะไหล่) , วิธีการทำงาน , ผู้ปฏิบัติงาน และสิ่งแวดล้อมในการทำงาน และใช้หลักการ ECRS พิจารณาความสูญเปล่าในกระบวนการ พบว่า มีขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อนและการจัดการระบบการเบิกจ่ายอะไหล่ไม่มีความชัดเจนเป็นมาตรฐาน และ ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการ พบว่า ด้านขั้นตอนการทำงาน ก่อนปรับปรุง 30 ขั้นตอน หลังปรับปรุงเหลือ 7 ขั้นตอน ลดลงได้ 23 ขั้นตอน ด้านระยะเวลาในการเบิกอะไหล่ต่อชิ้น ก่อนปรับปรุง 25 นาที 36 วินาที หลังปรับปรุง เหลือ 21 นาที 32 วินาที ลดลงได้ 4 นาที 4 วินาที และด้านระยะทาง ก่อนปรับปรุง 280 เมตร หลังทำการปรับปรุงเหลือ 238 เมตร ลดลงได้ 42 เมตร ต่อการเบิกอะไหล่ 1 ครั้ง </p> <p> This research aims to find the waste in the process of managing the inventory of maintenance <br />work and to increase the efficiency in terms of time, steps, and distance in the process of managing <br />the inventory of maintenance work. The research was conducted by studying the problem <br />conditions from a case study company using theories and related research and analyzing the causes <br />of the problem to lead to the solution with a cause and effect diagram and using the production <br />process flow diagram together with the ECRS principle to apply to improve the process and <br />compare the results before and after the improvement. <br />The research results can be summarized as follows: from using a cause and effect diagram <br />to analyzing the causes of waste, there are causes from raw materials (spare parts), work methods, <br />operators and work environment and using the ECRS principle to consider waste in the process, it <br />was found that there are redundant work steps and the management of the spare parts <br />disbursement system is not clear and standard. And in terms of increasing efficiency in the process, <br />it was found that in terms of work procedures, before improvement there were 30 steps, after <br />improvement there were 7 steps, a reduction of 23 steps; in terms of time spent withdrawing spare <br />parts per piece, before improvement there were 25 minutes 36 seconds, after improvement there <br />were 21 minutes 32 seconds, a reduction of 4 minutes 4 seconds; and in terms of distance, before <br />improvement there were 280 meters, after improvement there were 238 meters, a reduction of 42 <br />meters per spare parts withdrawal.</p> ณัฐชฎา พิมพาภรณ์, ชัยยะเนตร ถาพินนา, ศุภโชค เสมศรี, ชำนาญ เรืองฤทธิ์, มานะ อิ่มสูงเนิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257147 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เข็มขัดนิรภัยของผู้ขับขี่ยานพาหนะในเขตอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258222 <p>เข็มขัดนิรภัยเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยปกป้องความรุนแรงขณะเกิดอุบัติเหตุทางถนนและทำให้ร่างของผู้ขับและผู้โดยสารไม่หลุดออกนอกยานพาหนะ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาปัจจัยอิทธิพลและการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ตรวจพฤติกรรมการใช้เข็มขัดนิรภัย โดยติดตั้งกล้องวงจรปิดในช่องจราจรขามุ่งเข้าเมืองขอนแก่น ทั้งหมด 4 ทิศทาง &nbsp;(N=1,264 &nbsp;ตัวอย่าง)&nbsp; มีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบ Chi-Square และวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกส์ และใช้ YOLO ในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในการจำแนกภาพและตรวจสอบความถูกต้องโดย Confusion Matrix ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยด้าน สถานะ ประเภทรถ ช่วงเวลา และจุดติดตั้งมีความสัมพันธ์ต่อการใช้เข็มขัดนิรภัยที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05)&nbsp; &nbsp;ผู้ใช้ยานพาหนะที่ขับขี่ในช่วงวันหยุดมีอัตราการใช้เข็มขัดนิรภัยเป็น 1.753 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาขับขี่ในวันธรรมดา ที่ระดับนัยสำคัญ (p&lt;0.05)&nbsp; และทิศทางการเข้าเมืองมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้เข็มขัดนิรภัย (p&lt;0.05) นอกจากนี้จากการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์การตรวจจับพฤติกรรมการใช้เข็มขัดนิรภัยในยานพาหนะพบว่ามีความแม่นยำร้อยละ 83 ค่า True Positive Rate (TPR) ร้อยละ 91,&nbsp; ค่าTrue Negative Rate(TNR)ร้อยละ 78, ค่าPrecisionร้อยละ 89, &nbsp;ค่าRecallร้อยละ 74&nbsp; และค่าF1-scoreร้อยละ 81 ผลการศึกษาที่ได้จากงานวิจัยในครั้งนี้จะนำไปสู่การสร้างนโยบายและเทคโนโลยีในการส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัยของยานพาหนะขณะขับขี่ เพื่อมีการสนับสนุนความปลอดภัยทางถนนและลดอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตต่อไปในอนาคต</p> เจษฏา คำผอง, ณธายุ ชวพัฒนโยธา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258222 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาประสิทธิภาพของถ่านอัดแท่งจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียผสมเปลือกไข่ไก่ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258164 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระยะเวลาในการเผาไหม้ และอุณหภูมิน้ำต้มสูงสุดของถ่านอัดแท่งจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียผสมเปลือกไข่ไก่ เพื่อศึกษาค่าพลังงานความร้อนของถ่านอัดแท่งจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียผสมเปลือกไข่ไก่ และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างค่าพลังงานความร้อนและอุณหภูมิน้ำต้มสูงสุดของถ่านอัดแท่งจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียผสมเปลือกไข่ไก่ ขอบเขตของการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยใช้เครื่องอัดถ่านขนาด กว้าง 70 เซนติเมตร ยาว 180 เซนติเมตร และสูง 100 เซนติเมตร ความละเอียดของตะแกรงในการร่อนผงถ่านเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมีย 600 ไมครอน และผงเปลือกไข่ไก่ 300 ไมครอน เงื่อนไขในการกำหนดส่วนผสมระหว่างถ่านจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียและเปลือกไข่ไก่บดละเอียด แบ่งเป็น 3 ระดับคือ ร้อยละ 80:20 ร้อยละ 85:15 และร้อยละ 90:10 การผลิตถ่านอัดแท่งใช้ส่วนผสมของผงถ่านจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียและเปลือกไข่ไก่บดละเอียด แป้งมันสำปะหลังและน้ำ โดยจะผสมในอัตราส่วน 7:1:1 น้ำหนักของถ่านอัดแท่งที่ใช้ในการศึกษาประสิทธิภาพ จำนวน 500 กรัม จำนวนน้ำที่ใช้ในการต้มเพื่อทำการทดลอง จำนวน &nbsp;1 ลิตร และระยะเวลาในการต้มน้ำ จำนวน 1 ชั่วโมง การเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยจะศึกษาระยะเวลาในการเผาไหม้ ค่าอุณหภูมิน้ำต้มสูงสุดและค่าพลังงานความร้อนของถ่านจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียผสมเปลือกไข่ไก่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระยะเวลาในการเผาไหม้ และอุณหภูมิน้ำต้มสูงสุดของถ่านอัดแท่งจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียผสมเปลือกไข่ไก่ ที่มีค่าอุณหภูมิน้ำต้มสูงสุดคือ พบว่า ถ่านอัดแท่งจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียร้อยละ 85 ผสมเปลือกไข่ไก่ ร้อยละ 15 มีค่าอุณหภูมิน้ำต้มสูงสุดเท่ากับ 99 องศาเซลเซียส ค่าพลังงานความร้อนของถ่านอัดแท่งจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียผสมเปลือกไข่ไก่ที่อัตราส่วนผสมที่มีค่าพลังงานความร้อนของถ่านอัดแท่งจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียผสมเปลือกไข่ไก่มากที่สุดคือ ถ่านอัดแท่งจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียร้อยละ 85 ผสมเปลือกไข่ไก่ ร้อยละ 15 มีค่าเฉลี่ยของค่าพลังงานความร้อน 25.33 เมกะจูลต่อกิโลกรัม และความสัมพันธ์ระหว่างค่าพลังงานความร้อนและอุณหภูมิน้ำต้มสูงสุดของถ่านอัดแท่งจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียผสมเปลือกไข่ไก่ พบว่า ค่าพลังงานความร้อนและอุณหภูมิน้ำต้มสูงสุดของถ่านอัดแท่งจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียผสมเปลือกไข่ไก่ที่อัตราส่วนผสมจากเปลือกเมล็ดแมคคาเดเมียร้อยละ 85 ผสมเปลือกไข่ไก่ ร้อยละ 15 มีค่าพลังงานความร้อนสูงสุด 25.33 MJ/kg มีอุณหภูมิน้ำสูงสุด 97 องศาเซลเซียส</p> ปกรณ์เกียรติ ภูกองพลอย, พรรณิภา ครองพลอย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258164 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบและทดลองจริงของแขนกลหุ่นยนต์สำหรับเส้นทางการเคลื่อนที่ด้วยการหาค่าเหมาะสมที่สุดแบบหลายฟังก์ชันวัตถุประสงค์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258999 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การเคลื่อนที่ของแขนกลหุ่นยนต์ (Robot Manipulator) สำหรับหยิบจับสิ่งของนั้น ได้รับความนิยมและถูกใช้ในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน งานวิจัยนี้ได้มีวัตถุประสงค์2 ฟังก์ชันวัตถุประสงค์คือ ฟังก์ชันวัตถุประสงค์ที่ 1 คือ ค่าการกระตุก (jerk) ของข้อต่อ (joint) หุ่นยนต์แขนกลรวมน้อยที่สุด และฟังก์ชันวัตถุประสงค์ที่ 2 คือ ตำแหน่งสุดปลายในการหยิบจับวัตถุให้มีตำแหน่งหยิบใกล้วัตถุมากที่สุด โดยได้เปรียบเทียบวิธีการหาค่าเหมาะสมที่สุดแบบหลายฟังก์ชันวัตถุประสงค์จำนวน 3 วิธีการหาค่าเหมาะสมที่สุดคือ 1) การหาค่าเหมาะสมที่สุดของขั้นตอนวิธีการหาค่าเหมาะที่สุดของปลาวาฬแบบหลายฟังก์ชันวัตถุประสงค์ (Multi-objective Whale optimization Algorithm : MOWOA) 2) การหาค่าเหมาะสมที่สุดของขั้นตอนวิธีหมาป่าสีเทาแบบหลายฟังก์ชันวัตถุประสงค์ (Multi-objective Grey Wolf Optimizer: MOGWO) 3) การหาค่าเหมาะสมที่สุดของขั้นตอนของการค้นหาความบรรสานแบบหลายฟังก์ชันวัตถุประสงค์ (Multi-objective Harmony Search Optimization : MOHS) ซึ่งใช้การประเมินสมรรถนะของวิธีการหาค่าเหมาะสมที่สุดโดยใช้ตัวบ่งชี้ขอบหน้าพาเรโต (pareto front indicator) ด้วยวิธีการปริมาตรหลายมิติ (hypervolume : HV) พบว่าค่าปริมาตรหลายมิติที่สูงสุดมีค่าเท่ากับ 192,877.48 ของวิธี MOWOA แสดงว่าวิธีการ MOWOA เป็นวิธีการที่ดีที่สุด และได้ทดลองจริงกับหุ่นยนต์ รุ่น RS020N ของบริษัท Kawasaki สามารถลดการกระตุกจากวิธีการลองผิดลองถูกของหุ่นยนต์จริง (Trial-and-error) ได้ 32.33 %</p> กิตติศักดิ์ แสนประสิทธิ์ , นัฐพงษ์ เนินชัด , ปกรณ์เกียรติ ภูกองพลอย, คมยุทธ ไชยวงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258999 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบและพัฒนารถไถพรวนดินเดินตามขนาดเล็กพลังงานไฟฟ้า https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/256464 <p>การออกแบบและพัฒนารถไถพรวนดินเดินตามขนาดเล็กพลังงานไฟฟ้า พบว่า รถไถพรวนดินเดินตามขนาดเล็กพลังงานไฟฟ้าได้ทำการออกแบบมีขนาด ความกว้างเท่ากับ 1.2 เมตร ความยาวเท่ากับ 1.5 เมตร ความสูงเท่ากับ 1.41 เมตร ใช้ต้นกำลังจากมอเตอร์ขนาด 2,000 วัตต์, กล่องคอนโทลเลอร์ 100 แอมป์, แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ขนาด 30 แอมป์, ชุดส่งกำลังผ่านโซ่เฟืองโซ่มีค่าเท่ากับ 7.806 : 1, เกียร์ 1 อัตราทด 16 : 1 ความเร็วรอบเพลาเท่ากับ 29.7 rpm, เกียร์ 2 อัตราทด 12 : 1 ความเร็วรอบเพลาเท่ากับ 42.2 rpm, กำลังพรวนเท่ากับ 1.729 แรงม้า รถไถสามารถไถพรวนดินในดินร่วนปนทราย เพื่อเตรียมดินในการทำเกษตรขนาดเล็กในการปลูกพืช ได้ผลการทดสอบประสิทธิภาพของรถไถพรวนดินเดินตามขนาดเล็กพลังงานไฟฟ้า ในสภาพดินร่วนปนทรายในพื้นที่ไกล้เคียงกัน ขนาดพื้นที่เท่ากับ 200 ตารางเมตร เมื่อทำการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานจากเกียร์ 1 และ 2 พบว่า ความเร็ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในการเคลื่อนที่ล้อ 3.186 และ 4.91 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีเวลาในการทำงาน 0.122 และ 0.079 ไร่ต่อชั่วโมง มีอัตราการลื่นไถล 16.93 และ 11.89 เปอร์เซ็นต์ อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า 245.66 และ 157.98 วัตต์ชั่วโมง ความกว้างของการไถ 0.55 เมตร มีความสามารถในการทำงานทางทฤษฎี (TFC) 1.094 และ 1.693 ไร่ต่อชั่วโมง มีความสามารถในการทำงานจริง (EFC) 1.017 และ 1.574 ไร่ต่อชั่วโมง ประสิทธิภาพ (EFF) ร้อยละ 92.1 และ 93.66 เปอร์เซ็นต์ และผลการประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ 5 คน รวมทุกด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.77 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.46</p> เรืองยศ แก้วหล้า, นิคม ลนขุนทด, อัษฎา วรรณกายนต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/256464 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความอ่อนไหวของพารามิเตอร์ในการคำนวณเสถียรภาพของลาดดิน https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257578 <p>งานวิจัยนี้ศึกษาความอ่อนไหวของพารามิเตอร์ เพื่อให้ผู้วิเคราะห์สามารถเข้าใจถึงความสำคัญของพารามิเตอร์ที่ส่งผลต่อการวิเคราะห์เสถียรภาพของลาดดินได้ดียิ่งขึ้น โดยทำการศึกษาพารามิเตอร์จำนวน 9 อย่าง คือ 1) รูปแบบที่ใช้ในการวิเคราะห์ 2) หน่วยน้ำหนักของดิน 3) แรงยึดเหนี่ยวของดิน 4) มุมเสียดทานภายในของดิน 5) ความชันของลาดดิน 6) ความสูงของลาดดิน 7) ระดับน้ำหน้าลาดดิน 8) แรงภายนอกที่กระทำบนคันดิน และ 9) แรงแผ่นดินไหว ผลการศึกษาพบว่า วิธีการวิเคราะห์ด้วยวิธีสมดุลโมเมนต์และวิธีสมดุลขีดจำกัด ให้ค่าอัตราส่วนความปลอดภัยใกล้เคียงกัน ในขณะที่วิธีสมดุลแรงให้ค่าอัตราส่วนความปลอดภัยต่ำที่สุด การเลือกใช้หน่วยน้ำหนักของดินควรสอดคล้องกับลักษณะของดิน เนื่องจากความอ่อนไหวของหน่วยน้ำหนักจะมีผลเฉพาะกับการคำนวณแรงยึดเหนี่ยวของดิน สำหรับแรงยึดเหนี่ยวของดินและมุมเสียดทานภายใน เมื่อค่าพารามิเตอร์เหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น ค่าอัตราส่วนความปลอดภัยก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ในด้านความชันและความสูง พบว่าการเพิ่มค่าความชันและความสูงส่งผลให้ค่าอัตราส่วนความปลอดภัยลดลง ในขณะที่ระดับน้ำหน้าลาดดินที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ค่าอัตราส่วนความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยความอ่อนไหวของระดับน้ำหน้าลาดดินจะมีผลเฉพาะกับการคำนวณแรงยึดเหนี่ยวของดิน สำหรับแรงภายนอกที่มากระทำบนคันดินและแรงแผ่นดินไหว การเพิ่มของแรงดังกล่าวจะทำให้อัตราส่วนความปลอดภัยลดลง โดยความอ่อนไหวจากแรงภายนอกที่กระทำบนคันดินมีผลกระทบสูงสุดในการคำนวณแรงยึดเหนี่ยวของดินและมุมเสียดทานภายใน</p> รัฐศักดิ์ ผลานิสงค์, พงศกร พรรณรัตนศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257578 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 คุณสมบัติของคอนกรีตที่รับกำลังอัดได้รวดเร็วที่มีส่วนผสมของมวลรวมหยาบรีไซเคิลจากแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258427 <p>งานวิจัยนี้ ศึกษาคุณสมบัติของคอนกรีตที่มีมวลรวมรีไซเคิลจากแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปเป็นส่วนผสม เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมงานก่อสร้างที่ต้องรับกำลังอัดได้รวดเร็ว โดยมีส่วนผสม คือ ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ สารลดน้ำพิเศษ ทรายแม่น้ำ มวลรวมธรรมชาติ มวลรวมรีไซเคิลจากแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป คัดขนาด 4.75 ถึง 19.0 มม. เพื่อใช้เป็นมวลรวมคอนกรีตรีไซเคิล โดยนำไปแทนที่มวลรวมหยาบธรรมชาติ ในปริมาณร้อยละ 0, 25, 50, 75 และ 100 โดยน้ำหนักมวลรวมหยาบธรรมชาติ บ่มตัวอย่างในน้ำที่อุณหภูมิห้อง ทำการทดสอบกำลังอัด เมื่ออายุครบ 24 ชั่วโมง และ 28 วัน และทำการทดสอบการดูดซึมน้ำ ปริมาณโพรงอากาศ กำลังรับแรงดัด และโมดูลัสยืดหยุ่น ที่อายุ 28 วัน ผลการศึกษาพบว่า กำลังอัดที่อายุ 24 ชั่วโมง มีค่า 203-285 ksc และ 28 วัน มีค่า 375-455 ksc การดูดซึมน้ำมีค่า 2.85-6.17 % ปริมาณโพรงอากาศมีค่า 6.64-13.46 % กำลังรับแรงดัดมีค่า 72.5-89.0 ksc และโมดูลัสยืดหยุ่นมีค่า 25.51-28.19 GPa เมื่อใช้มวลรวมรีไซเคิลจากแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปเป็นส่วนผสม แทนที่มวลรวมหยาบธรรมชาติร้อยละ 25 โดยน้ำหนักมวลรวมหยาบธรรมชาติ กำลังอัดเมื่ออายุครบ 24 ชั่วโมง มีค่า 245.2 ksc และ 28 วัน มีค่า 409.7 ksc ซึ่งส่วนผสมที่ได้เหมาะสมสำหรับผลิตเป็นโครงสร้างคอนกรีตสำเร็จรูป แผ่นพื้น เสา ผนังรับแรง ตามมาตรฐาน มอก.848-2546</p> จักรกฤษณ์ ศรีละคุณ, ทรงพล ทรงแสงฤทธิ์, ปริญญา จินดาประเสริฐ, พัชรพล โพธิ์ศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258427 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับปรุงสถานีงานคอมพิวเตอร์ตามหลักการยศาสตร์เพื่อลดความเสี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรมในบุคลากรวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258070 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับปรุงสถานีงานคอมพิวเตอร์ตามหลักการยศาสตร์ในการลดความเสี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรมในบุคลากรวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร การวิจัยเป็นแบบกึ่งทดลอง โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คนที่สมัครใจเข้าร่วมโปรแกรม โปรแกรมการปรับปรุงสถานีงานคอมพิวเตอร์ที่ใช้ประกอบด้วย 5 กิจกรรมหลัก ได้แก่ การสังเกตท่าทางการนั่งและสภาพแวดล้อมการทำงาน การประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ก่อนและหลังการปรับปรุง การกำหนดแนวทางการปรับปรุงสถานีงานคอมพิวเตอร์รายบุคคล การปรับปรุงสถานีงานคอมพิวเตอร์ และการประเมินผลก่อนและหลังใช้โปรแกรม เครื่องมือประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ใช้แบบประเมิน Rapid Office Strain Assessment (ROSA) และแบบสอบถามประเมินระดับความเจ็บปวดกล้ามเนื้อ (Pain Score) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เปรียบเทียบความเสี่ยงด้านการยศาสตร์และความเจ็บปวดกล้ามเนื้อก่อนและหลังการปรับปรุงสถานีงานด้วยสถิติ Paired t-test ผลการศึกษาพบว่าหลังการปรับปรุงสถานีงานตามหลักการยศาสตร์ ค่าเฉลี่ยคะแนนความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ (ROSA Score) ลดลงจาก 7.37 เป็น 4.60 (p-value = .000) และระดับความเจ็บปวดกล้ามเนื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญในบริเวณคอ (p-value = .003) ไหล่/บ่า (p-value = .002) หลังส่วนบน (p-value = .024) และมือ/ข้อมือ (p-value = .038) ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการปรับปรุงสถานีงานคอมพิวเตอร์ตามหลักการยศาสตร์มีประสิทธิผลในการลดความเสี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรมและส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม ข้อมูลจากการศึกษาในครั้งนี้สามารถต่อยอดประยุกต์ใช้โปรแกรมการปรับปรุงสถานีงานคอมพิวเตอร์ตามหลักการยศาสตร์เพื่อส่งเสริมสุขภาพในการทำงานให้แก่พนักงานที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสำนักงานอื่น ๆ ต่อไป</p> สุคนธ์ ขาวกริบ, ปัญจ์ปพัชรภร บุญพร้อม, อารีรัตน์ วรนุช, ศิรประภา สมวงษ์, อินจิรา นิยมธูร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/258070 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700 ไม้เท้าอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของทุกสรรพสิ่งและปัญญาประดิษฐ์ ในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257931 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาไม้เท้าอัจฉริยะสำหรับผู้พิการทางสายตา โดยผสานรวมเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับไม้เท้า เพื่อช่วยตรวจจับและแจ้งเตือนทางต่างระดับ เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง ระบบประกอบด้วย ESP32-CAM ที่ทำหน้าที่บันทึกภาพ และส่งข้อมูลไปประมวลผลบนโมเดล AI ซึ่งสร้างขึ้นด้วย Teachable Machine โดยโมเดลได้รับการฝึกฝนให้สามารถจำแนกทางต่างระดับและสิ่งกีดขวางได้ 11 ประเภท เมื่อตรวจพบทางต่างระดับ ระบบจะแจ้งเตือนผู้ใช้ผ่านมอเตอร์สั่นที่ติดตั้งบนด้ามจับ ผลการทดสอบพบว่า ระบบมีความแม่นยำในการจำแนกประเภททางต่างระดับ และสิ่งกีดขวาง อยู่ที่ 97.96% และ 96.08% ตามลำดับ งานวิจัยนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้พิการทางสายตาได้อย่างมีนัยสำคัญ</p> วดีนาถ วรรณสวัสดิ์กุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/journalindus/article/view/257931 Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700