https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/issue/feed วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" 2025-06-30T16:34:00+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธรัช อารีราษฎร์ dr.tharach@rmu.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารวิชาการ “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ” (Journal of Applied Information Technology) เป็นวารสารที่ตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการและโครงงานวิจัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอบทความทางวิชาการ บทความวิจัยและโครงงานวิจัยที่มีคุณภาพ แสดงถึงประโยชน์ทั้งเชิงทฤษฎี (Theoretical Contributions) ที่นักวิจัยหรือผู้ที่สนใจสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดหรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ และประโยชน์ในเชิงปฏิบัติการ (Managerial Contributions) นักวิจัยหรือผู้สนใจนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์หรือต่อยอดการวิจัยที่ครอบคลุมเนื้อหาทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร เทคโนโลยีมัลติมีเดียและคอมพิวเตอร์ศึกษา การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ตลอดจนสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์ และเพื่อให้บริการวิชาการแก่สังคมในการเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ การทำวิจัยและการพัฒนาผลงานวิชาการของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ ผู้บริหาร นักศึกษา นักธุรกิจ และประชาชนผู้สนใจ ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ</p> <p>ตั้งแต่ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 เป็นต้นไป ทางวารสารได้เพิ่มผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อพิจารณาบทความเป็น 3 ท่าน (จากเดิม 2 ท่าน)</p> <p> </p> https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/260065 ส่วนหน้า 2025-06-30T16:23:50+07:00 ปิยศักดิ์ ถีอาสนา itcenter@rmu.ac.th <p>ส่วนหน้า</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/258159 การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดทำหนังสือเล่มเล็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ 2025-03-15T16:20:49+07:00 อาณกร ประนันวงศ์ anakornboom@gmail.com ธรัช อารีราษฎร์ dr.tharach@rmu.ac.th ธารีชล ดงสงคราม Thareechon@rmu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของหนังสือเล่มเล็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ <br />2) พัฒนาคู่มือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดทำหนังสือเล่มเล็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และ 3) ศึกษาผลการทดลองใช้คู่มือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดทำหนังสือเล่มเล็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษาองค์ประกอบของหนังสือเล่มเล็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ พบว่าประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ (1) ส่วนหน้า ดังนี้ 1.1) ปกหน้า 1.2) คำนำ 1.3) สารบัญ ส่วนที่ (2) ส่วนเนื้อหา ดังนี้ 2.1) วัตถุประสงค์ 2.2) เนื้อหา 2.3) ภาพประกอบ ส่วนที่ (3) ส่วนหลัง ดังนี้ 3.1) บรรณานุกรม 3.2) คณะผู้จัดทำ 3.3) ปกหลัง และผลความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อความเหมาะสมขององค์ประกอบหนังสือเล่มเล็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ พบว่า โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.00 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.10 2) การพัฒนาคู่มือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดทำหนังสือเล่มเล็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ พบว่า องค์ประกอบของการพัฒนาคู่มือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดทำหนังสือเล่มเล็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบด้วย 3 ส่วน คือส่วนที่ (1) ส่วนด้านการออกแบบรูปเล่มของคู่มือ ดังนี้ 1.1) ขนาดเล่มของคู่มือ 1.2) สีและการออกแบบปกของคู่มือน่าสนใจ 1.3) รูปแบบตัวอักษรอ่านง่าย และสวยงาม 1.4) รูปแบบ / หัวข้อมี ความเหมาะสม ส่วนที่ (2) ส่วนด้านเนื้อหาในคู่มือ ดังนี้ 2.1) เนื้อหาของคู่มืออ่านแล้วเข้าใจง่าย 2.2) เนื้อหาของคู่มือมีความทันสมัยต่อเหตุการณ์ 2.3) เนื้อหาของคู่มือตรงต่อความต้องการ 2.4) การจัดเนื้อหาเป็นลำดับขั้นตอน สอดคล้องและเชื่อมโยงกัน ส่วนที่ (3) ด้านการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ ดังนี้ 3.1) ท่านได้รับความรู้และประโยชน์ของคู่มือได้จริง 3.2) สามารถนำคู่มือไปศึกษาด้วยตนเอง พบว่า ผลการประเมินความเหมาะสมของคู่มือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดทำหนังสือเล่มเล็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมอยู่ใน ระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.25 3) ศึกษาผลการทดลองใช้คู่มือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดทำหนังสือเล่มเล็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ พบว่า ผลความพึงพอใจของครูผู้สอนที่มีต่อการใช้คู่มือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดทำหนังสือเล่มเล็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.85 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.02</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/258033 การพัฒนาคู่มือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการอ่านออกของผู้เรียน 2025-06-05T13:39:22+07:00 สัชฌุกร ตันติธนวรพงศ์ 659070140101@rmu.ac.th ธรัช อารีราษฎร์ dr.thatach@rmu.ac.th วรปภา อารีราษฎร์ dr.thatach@rmu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาคู่มือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการอ่านออก<br />ของผู้เรียน 2) สอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อคู่มือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการอ่านออกของผู้เรียน กลุ่มเป้าหมาย ผู้เชี่ยวชาญสำหรับประเมินคู่มือ จำนวน 3 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบไปด้วย คู่มือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการอ่านออกของผู้เรียน และแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อคู่มือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการอ่านออกของผู้เรียน สถิตที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) พัฒนาคู่มือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการอ่านออกของผู้เรียน ประกอบด้วย คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จำนวน 7 หน่วยการเรียนรู้ รวมทั้งหมด 23 ชั่วโมง ในแต่ละหน่วย<br />การเรียนรู้ประกอบไปด้วย ส่วนที่ 1 ขั้นตอนในการจัดกิจกรรม ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 กิจกรรมเตรียมสมอง (B : Brain Activity) ขั้นที่ 2 ให้ประสบการณ์เชื่อมโยงความรู้ (E : Experience) ขั้นที่ 3 ปฏิบัติงาน<br />ฝึกทักษะ (P : Practice skills) ขั้นที่ 4 ประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) ในแต่ละขั้นตอนจะมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปประยุกต์ใช้ ส่วนที่ 2 เนื้อหา ประกอบไปด้วย ใบความรู้ และใบกิจกรรม ส่วนที่ 3 ภาคผนวก ประกอบไปด้วย แบบทดสอบ แบบบันทึกคะแนน แบบสังเกตพฤติกรรม และแบบสังเกตเจตคติของผู้เรียน <br />2) คิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อคู่มือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการอ่านออกของผู้เรียน โดยรวม<br />มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.99, S.D. = 0.02) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้านมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านกิจกรรมสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ( = 5.00, S.D. = 0.00) ความเหมาะสมของเครื่องมือการวัดประเมินผล ( = 5.00, S.D. = 0.00) ด้านความเหมาะสมของการนำสื่อดิจิทัลมาใช้ในการเรียนรู้ ( = 4.98, S.D. = 0.04) และด้านความเหมาะสมของกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละขั้นตอน <br />( = 4.96, S.D. = 0.07)</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/256674 การพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลสถานตรวจสภาพรถเอกชนจักรกฤษรุ่งเรือง 2025-06-06T14:51:30+07:00 ดลลักษณ์ พงษ์พานิช dolluckbangsuk@gmail.com นูรฮาฟีกีน มะเด fitzayo001@gmail.com รณกฤต ศรีเอียด yotr_54@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระบบจัดการฐานข้อมูลสถานตรวจสภาพรถเอกชนจักรกฤษรุ่งเรือง 2) พัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลสถานตรวจสภาพรถเอกชนจักรกฤษรุ่งเรือง และ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อประสิทธิภาพของระบบจัดการฐานข้อมูลสถานตรวจสภาพรถเอกชนจักรกฤษรุ่งเรือง งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ระบบจัดการฐานข้อมูลสถานตรวจสภาพรถเอกชนจักรกฤษรุ่งเรือง และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อประสิทธิภาพของระบบจัดการฐานข้อมูลสถานตรวจสภาพรถเอกชนจักรกฤษรุ่งเรือง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ประกอบการ และผู้รับบริการสถานตรวจสภาพรถเอกชนจักกฤษรุ่งเรือง จำนวน 30 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง พัฒนาระบบด้วยภาษา PHP และใช้ MySQL เป็นตัวจัดการฐานข้อมูล ระบบที่พัฒนาขึ้นมีลักษณะการทำงานแบบ Responsive web application โดยการดำเนินงานถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การพัฒนาระบบโดยอาศัยหลักการพัฒนาระบบตามแนวคิดวงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle : SDLC) และ การสร้างเครื่องมือสำหรับประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อประสิทธิภาพของระบบโดยใช้วิธี Black box testing ร่วมกับเกณฑ์มาตรฐาน Rating Scale 5 ระดับ และแปรผลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (Average: x-bar) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: S.D.)&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลสถานตรวจสภาพรถเอกชนจักรกฤษรุ่งเรืองแบ่งการทำงานของระบบตามผู้ใช้ ประกอบด้วย ผู้ดูแลระบบ พนักงาน และลูกค้า สามารถใช้งานได้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน และความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพของระบบจัดการฐานข้อมูลสถานตรวจสภาพรถเอกชนจักรกฤษรุ่งเรืองพบว่า ความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (x-bar = 4.68, S.D. = 0.08) ระบบสามารถจัดเก็บ สืบค้น ออกรายงาน และแจ้งเตือนรายการเอกสารที่ต้องดำเนินงานได้ ช่วยลดเวลาในการทำงานลง ส่งผลให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/254718 การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลของร้านกาแฟด้วยเว็บแอปพลิเคชัน 2025-06-05T13:24:09+07:00 สืบพงษ์ พงษ์สวัสดิ์ subpong@feu.edu วรวิทย์ อนุวรรัตน์ woravit@feu.edu ยุพา ของสู้ yupa@feu.edu เทวินทร์ ฟักเอม tawin@feu.edu <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลของร้านกาแฟด้วยรูปแบบเว็บแอปพลิเคชัน และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของระบบจากผู้จัดการและพนักงานร้านกาแฟ ประชากรได้แก่ผู้จัดการและพนักงานร้านกาแฟ จำนวน 4 คน โดยใช้แบบประเมินความพึงพอใจของระบบโดยผู้ใช้บริการเป็นเครื่องมือ การพัฒนาระบบได้ดำเนินการตามแนวคิดวงจรการพัฒนาระบบ ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดที่แบ่งกระบวนการพัฒนาระบบออกเป็นขั้นตอนเพื่อให้การพัฒนาระบบมีทิศทางและสนองความต้องการขององค์กรธุรกิจได้ และพัฒนาระบบในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชัน เครื่องมือในการพัฒนาระบบได้แก่ Visual Studio Code โดยใช้ภาษาพีเอชพี (PHP) จาวาสคริปต์ (JavaScript) และโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลมายเอสคิวเอล (MySQL) สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระบบบริหารจัดการร้านกาแฟ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) ส่วนผู้จัดการ และ 2) ส่วนพนักงาน ระบบจะแสดงหน้าจอในการจัดการหลังร้าน การทำรายการคำสั่งซื้อจากลูกค้า และสามารถแสดงรายงานยอดขายได้ ผู้จัดการสามารถเรียกดูรายงานยอดขายตามวัน เดือน และปีได้ สำหรับความพึงพอใจเฉลี่ยของผู้จัดการและพนักงานมีค่าเฉลี่ย 4.55 โดยที่ความรวดเร็วของระบบได้รับความพึงพอใจสูงที่สุด รองลงมาเป็นการออกแบบที่เหมาะสมต่อการใช้งาน แสดงรายงานที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน ระบบตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และการใช้งานระบบไม่ยุ่งยาก</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/255862 การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อจัดการข้อมูลสภาวะสุขภาพ และการประเมินผลความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่กา 2025-06-19T13:42:31+07:00 รัตนาวดี พานทอง rattanawadee.pa@up.ac.th รัตน์ธศักดิ์ เพ็งชะตา Rattasak.Pe@up.ac.th เจษฎา วงศ์วาฬ 64020248@up.ac.th ศิริลักษณ์ เชื้อสาวะถี 64020451@up.ac.th <p>วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้คือเพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและจัดเก็บข้อมูลการสำรวจสภาวะสุขภาพผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาระบบการจัดการข้อมูลสภาวะสุขภาพผู้สูงอายุและการประเมินผลความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวัน (ADL) ของผู้สูงอายุ ในพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา สำหรับการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการข้อมูลสภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยจัดทำในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชันและสร้างฐานข้อมูลโดยใช้โปรแกรม MySQL</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระบบที่ได้รับสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนส่งเสริมการฟื้นฟู การดูแลรักษาสุขภาพของผู้สูงอายุ การติดตามและการประเมินผลความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุ &nbsp;การประเมินความพึงพอใจการใช้งานของระบบสารสนเทศเพื่อจัดการข้อมูลสภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่กาพบว่า ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจต่อการใช้งานของระบบสารสนเทศโดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅= 4.12, SD. = 0.46)&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/257345 การพัฒนาสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และการสื่อสารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ 2025-06-05T13:47:40+07:00 จักรกริช คำสม drchakkrit@gmail.com ธารีชล ดงสงคราม thareechon.dsk@gmail.com วรปภา อารีราษฎร์ dr.worapapha@rmu.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และการสื่อสารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ 2) ศึกษาผลการทดลองใช้การพัฒนาสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และการสื่อสารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มที่ 1 ผู้เชี่ยวชาญ ในการประเมินความเหมาะสมของกระบวนการพัฒนาสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และการสื่อสารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ จำนวน 5 คน กลุ่มที่ 2 นักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา การพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเรียนการสอน ภาคเรียนที่ 1/2567 จำนวน 88 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อองค์ประกอบสื่อและกระบวนการพัฒนาสื่อดิจิทัล แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อกระบวนการพัฒนาสื่อดิจิทัล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการพัฒนาสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และการสื่อสารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ องค์ประกอบของสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และการสื่อสารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พบว่า ประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 เนื้อหา ประกอบด้วย ข้อความ, ภาพ, วีดีโอ, เสียง ที่ถูกออกแบบและนำเสนอให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ส่วนที่ 2 การสร้างสื่อดิจิทัล ดำเนินการสร้างสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และนำเสนอบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยใช้กระบวนการ 3P ดังนี้ 1) P1: Preparation การเตรียมการ 2) P2: Process กระบวนการพัฒนา และ 3) P3 Presentation การนำเสนอ และความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อความเหมาะสมขององค์ประกอบสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และการสื่อสารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\tilde{x}" alt="equation" />= 4.52, S.D. = 0.50) และ 2) ผลการทดลองใช้การพัฒนาสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และการสื่อสารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พบว่า ความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อการพัฒนาสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และการสื่อสารบนแพลตฟอร์มออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\tilde{x}" alt="equation" />= 4.60, S.D. = 0.49) </p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/256875 การพัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เรื่อง เทคโนโลยีรอบตัว สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2025-06-05T13:30:33+07:00 ศรัญญา จูมศรีราช saranya.ju@ksu.ac.th ศศิกร สุรมณี sasikorn.su@ksu.ac.th สวียา สุรมณี saweya.su@ksu.ac.th รศรงค์ พัฒนาอนุสรณ์ rotsarong.ph@ksu.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เรื่อง เทคโนโลยีรอบตัว สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 25 คน โรงเรียนผึ่งแดดวิทยาคาร จังหวัดมุกดาหารได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เรื่อง เทคโนโลยีรอบตัว สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) แอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เรื่อง เทคโนโลยีรอบตัว สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.00/84.40 2) ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น มีค่าเท่ากับร้อยละ 75 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/256960 การพัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เรื่อง องค์ประกอบของไอโอที สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2025-05-08T16:09:15+07:00 วัชรกร รัตนวงค์ watcharakorn300759@gmail.com สวียา สุรมณี saweya.su@ksu.ac.th ศศิกร สุรมณี sasikorn.su@ksu.ac.th รศรงค์ พัฒนาอนุสรณ์ rotsarong.ph@ksu.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เรื่ององค์ประกอบของไอโอที สำหรับชั้นมัธยมศึกษา</p> <p>ปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น และ 3) ศึกษาความพึงพอใจ</p> <p>ของนักเรียนที่มีต่อแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 22 คน โรงเรียนผึ่งแดดวิทยาคาร&nbsp; &nbsp;จังหวัดมุกดาหาร ได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์</p> <p>เรื่อง องค์ประกอบของไอโอที สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แบบประเมินความเหมาะสม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถาม</p> <p>ความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า 1) แอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เรื่อง องค์ประกอบของไอโอที สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.91/82.27 2) ดัชนีประสิทธิผลของนักเรียนที่เรียนด้วย แอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น มีค่าเท่ากับ 73 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/256789 การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อการเรียนรู้ เรื่องการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2025-01-23T14:12:13+07:00 ธีรภัทร ภูบรรทัด trerapheit.po@ksu.ac.th สวียา สุรมณี saweya.su@ksu.ac.th ศศิกร สุรมณี sasikorn.su@ksu.ac.th รศรงค์ พัฒนาอนุสรณ์ rotsarong.ph@ksu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ 1) พัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อการเรียนรู้ เรื่องการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ใหมีประสิทธิภาพตามเกณฑ 80/80 2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรูด้วยแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1/1 จำนวน 30 คน โรงเรียนเนินยางประชาสามัคคี จังหวัดกาฬสินธุ ได้มาจากการสุมอย่างง่ายโดยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใชในการวิจัย คือ แอปพลิเคชันบนเพื่อการเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 แบบประเมินความเหมาะสม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล คือ คารอยละ คาเฉลี่ย และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบวา 1) แอปพลิเคชันเพื่อการเรียนรู้ เรื่องการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สำหรับชั้นมัธยมศึกษามีประสิทธิภาพเทากับ 81.00/86.33 2) ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรูดวยแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น มีคาเทากับรอยละ 75 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจตอแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นอยูในระดับมากที่สุด</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/256455 การพัฒนาแอปพลิเคชันไลน์และแชทบอทระบบรับเข้าศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ 2025-06-09T09:35:03+07:00 ธรรมนูญ ปัญญาทิพย์ tammanoon@ksu.ac.th ปัญญดา พินไธสงค์ panyada.ph@gmail.com ปนัดดา โพธินาม panatdapo@hotmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแอปพลิเคชันไลน์และแชทบอทระบบรับเข้าศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และ 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและความพึงพอใจต่อแอปพลิเคชันไลน์และแชทบอทระบบรับเข้าศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา ได้แก่ Line Messaging API&nbsp; และ Dialog flow&nbsp; กลุ่มตัวอย่างคือ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน และกลุ่มผู้ใช้งาน คือนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6 โรงเรียนมอสวนขิงพิทยาสรรพ์ จำนวน 51 คน&nbsp;&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แอปพลิเคชันไลน์และแชทบอทระบบรับเข้าศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ 2) แบบประเมินประสิทธิภาพการทำงานของแอปพลิเคชัน 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อแอปพลิเคชัน สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) แอปพลิเคชันไลน์และแชทบอทระบบรับเข้าศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ โดยพัฒนาในรูปแบบแพลตฟอร์มไลน์ ประกอบด้วย 5 เมนูหลัก ได้แก่ เมนูกำหนดการรับสมัคร เมนูคุยกับบอทหนูน้อย&nbsp; เมนูข้อมูลการรับสมัคร เมนูสมัครเรียน และเมนูรายงานตัวขึ้นทะเบียนนักศึกษา สามารถใช้งานได้จริงและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน&nbsp; 2) ศึกษาประสิทธิภาพการทำงานของแอปพลิเคชัน พบว่า ประสิทธิภาพของระบบโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( &nbsp;= 4.29, S.D. = 0.30)&nbsp; เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านประสิทธิภาพ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด&nbsp; และการวัดความพึงพอใจในการใช้งานแอปพลิเคชันไลน์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก&nbsp; ( &nbsp;= 4.11, S.D. = 0.60) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านเนื้อหา มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/256444 การออกแบบและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับจัดการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2025-06-09T08:47:29+07:00 อนุมาศ แสงสว่าง anumas.s@rmutp.ac.th ศราวุธ แดงมาก sravudh.d@rmutp.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับจัดการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนหมู่ 4 ร่วมพัฒนา เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาการการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับจัดการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงฯ และ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับจัดการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงฯ กลุ่มตัวอย่างคือ กลุ่มบุคคลที่ดูแลและบริหารจัดการศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ฯ จำนวน 30 คน ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงฯ 2) แบบประเมินการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัล และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับจัดการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงฯ ผลการวิจัยพบว่า 1) ศูนย์การเรียนรู้ฯ มีการนำแพลตฟอร์มเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับจัดการศูนย์การเรียนรู้ฯ มาประยุกต์ใช้ในการจัดการศูนย์การเรียนรู้ฯ 2) ระดับการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ มาก ( x̄= 4.21) ผลการประเมินความพึงพอใจจากกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการจัดการศูนย์การเรียนรู้ฯ อยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.19)&nbsp; สรุปได้ว่า การออกแบบและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับจัดการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ภายในชุมชนหมู่ 4 ร่วมพัฒนา เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร ทำให้ศูนย์การเรียนรู้ฯ สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้บริหารจัดการศูนย์การเรียนรู้ฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/254949 ระบบบริหารจัดการพัสดุครุภัณฑ์และสารเคมี ศูนย์วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย 2025-06-19T13:43:18+07:00 สังสรรค์ หล้าพันธ์ sunksun.lap@lru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและพัฒนาระบบบริหารจัดการพัสดุครุภัณฑ์และสารเคมี ศูนย์วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย 2) ประเมินประสิทธิภาพของระบบที่พัฒนาขึ้น และ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อระบบ โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานห้องปฏิบัติการทางด้านวิทยาศาสตร์ จำนวน 3 คน เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบ และนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 30 คน เพื่อประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า การประเมินประสิทธิภาพระบบจากผู้เชี่ยวชาญใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) ความสามารถตรงตามความต้องการของผู้ใช้ 2) ความถูกต้องและการทำงานตามหน้าที่ 3) การติดต่อระหว่างระบบและผู้ใช้งาน และ 4) การตรวจสอบการเข้าใช้งาน มีค่าเฉลี่ย 4.25 (S.D. = 0.44) อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล 2) ความสมบูรณ์ของข้อมูล และ 3) ความสอดคล้องต่อความต้องการ มีค่าเฉลี่ย 3.89 (S.D. = 0.46) อยู่ในระดับมาก</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ระบบที่พัฒนาเป็นเว็บแอปพลิเคชันใช้ภาษา PHP และระบบจัดการฐานข้อมูล MySQL ช่วยในการจัดเก็บข้อมูลวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ สารเคมี และครุภัณฑ์ ทำให้สะดวกต่อการสืบค้น การพิมพ์บันทึกรายการเบิกและยืม/คืน รวมถึงการออกรายงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ" https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/project-journal/article/view/260066 ส่วนท้าย 2025-06-30T16:24:33+07:00 ปิยศักดิ์ ถีอาสนา itcenter@rmu.ac.th <p>ส่วนท้าย</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ"