วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/psru-jite
<p> วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม เป็นวารสารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ ตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความปริทรรศน์ ที่มีคุณภาพโดยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อนำเสนอแนวคิด นวัตกรรม และผลงานวิจัยใหม่ทางด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวข้องกับงานวิจัยในสาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม วิศวกรรมศาสตร์สาขาต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โลจิสติกส์ ไฟฟ้ากำลัง เครื่องกล โยธา อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหการ การผลิต การจัดการและโลจิสติกส์ เป็นต้น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นวัตกรรมเซรามิกส์ ออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และครุศาสตร์อุตสาหกรรม อีกทั้งยังรวมถึงงานวิจัยที่มีการบูรณาการศาสตร์ทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรมในสาขาอื่นๆ</p>
Faculty of Industrial Technology Pibulsongkram Rajabhat University
th-TH
วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2697-5602
-
กระเบื้องหินทรายเทียมจากผงหินอ่อน พรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/psru-jite/article/view/251844
<p>วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อ 1) เพื่อหาสัดส่วนผสมที่เหมาะสมของกระเบื้องหินทรายเทียมจากผงหินอ่อน และ 2) เพื่อตรวจสอบกระเบื้องหินทรายเทียมจากผงหินอ่อนตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยผงหินอ่อนที่ใช้เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมหินอ่อน อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร มีลักษณะเป็นสีขาว มีค่าความถ่วงจำเพาะ (ถ.พ.) เท่ากับ 2.92 และมีองค์ประกอบของธาตุแคลไซต์เป็นหลัก (CaCO<sub>3</sub>) ผู้วิจัยได้นำผงหินอ่อนมาอบให้แห้ง และนำมาบด จากนั้นนำมาขึ้นรูปร่วมกับปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาว และทรายละเอียด เพื่อทำการทดสอบสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางกล ได้แก่ ความหนาแน่น การดูดซึมน้ำ กำลังแรงอัด และกำลังแรงดัด จากนั้นทำขึ้นรูปจริงเป็นกระเบื้องหินทรายเทียมจากผงหินอ่อนเพื่อนำไปตรวจสอบตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มผช. 194/2546 ผลิตภัณฑ์หินทราย ผลการทดสอบ พบว่า สูตร M - 4 ประกอบด้วย ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาว : ผงหินอ่อน : ทรายละเอียด : น้ำ เท่ากับ 1 : 1.5 : 1.5 : 1 ส่วน ตามลำดับ มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีค่ากำลังรับแรงอัดและแรงดัดสูงที่สุด มีค่าเท่ากับ 179.25 และ 71.97 กก/ตร.ซม. ตามลำดับ และค่าร้อยละการดูดซึมน้ำ เท่ากับ 2.63 เมื่อนำไปตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน พบว่า ได้คะแนนเท่ากับ 3.08 จาก 4 คะแนน โดยกระเบื้องหินทรายเทียมจากผงหินอ่อนที่ได้ มีน้ำหนักเบา มีความแข็งแรง รวมทั้งมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าท้องตลาด ถึงร้อยละ 50 อีกทั้งยังเป็นการนำเศษวัสดุเหลือทิ้งจากท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป</p>
เอกสิทธิ์ เทียนมาศ
มาณพ ต้นเคน
พัชรีรัต หารไชย
ศิริวัฒน์ แสนธรรมา
ประภัสสรา ห่อทอง
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2024-12-26
2024-12-26
6 3
288
301
-
การศึกษากำลังอัดคอนกรีตที่ใช้เถ้าก้นเตาทดแทนมวลรวมละเอียด กรณีศึกษา ส่วนผสมคอนกรีตที่มีอัตราส่วนน้ำต่อปูนซีเมนต์คงที่ และค่าการยุบตัวคงที่
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/psru-jite/article/view/254179
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากำลังอัดคอนกรีตที่ใช้เถ้าก้นเตาทดแทนมวลรวมละเอียด กรณีศึกษา อัตราส่วนน้ำต่อปูนซีเมนต์คงที่และค่าการยุบตัวคงที่ โดยออกแบบคอนกรีตอัตราส่วนน้ำต่อปูนซีเมนต์ (W/C) เท่ากับ 0.55 ใช้เถ้าก้นเตาสถานะอิ่มตัวผิวแห้ง (Saturated surface dry) ทดแทนมวลรวมละเอียดที่ ร้อยละ 0, 10, 20, 30 , 50 และ 100 โดยปริมาตร ทดสอบกำลังอัดคอนกรีตที่อายุ 1 วัน, 3 วัน, 7 วัน, 14 วัน, และ 28 วัน พบว่า กรณีอัตราส่วนน้ำต่อปูนซีเมนต์คงที่ ค่าการยุบตัวมีค่าเพิ่มมากขึ้นแปรผันตามปริมาณเถ้าก้นเตา และกำลังอัดมีค่ามากกว่าคอนกรีตควบคุมเมื่อนำไปทดแทนมวลรวมละเอียดไม่เกินร้อยละ 30 กรณีค่าการยุบตัวของคอนกรีตคงที่ ขณะทำการผสมคอนกรีตจะมีน้ำส่วนเกินที่คายออกมาจากเถ้าก้นเตา ต้องทำการลดปริมาณน้ำที่ใช้ในการผสมคอนกรีต เพื่อให้ได้ค่าการยุบตัวของคอนกรีตเท่ากับคอนกรีตควบคุม และจากผลการทดสอบ ค่ากำลังอัดของคอนกรีตในทุกอัตราส่วนผสมมีค่ามากกว่าคอนกรีตควบคุม</p>
จิรา ธรรมนิยม
สุรเชษฐ์ วรรณา
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2024-12-27
2024-12-27
6 3
302
316
-
ผลของแมงกานีสไดออกไซด์ นิกเกิลออกไซด์ และคอปเปอร์ออกไซด์ต่อการปรากฏสีของเคลือบเฟลด์สปาร์ที่อุณหภูมิ 1230 องศาเซลเซียส
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/psru-jite/article/view/253019
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปริมาณของแมงกานีสไดออกไซด์ นิกเกิลออกไซด์ และคอปเปอร์ออกไซด์ที่ส่งผลต่อการปรากฏสีของเคลือบเฟลด์สปาร์ 2) เพื่อศึกษาปริมาณของแมงกานีสไดออกไซด์ นิกเกิลออกไซด์ และคอปเปอร์ออกไซด์ที่ส่งผลต่อลักษณะผิวที่ปรากฏของเคลือบเฟลด์สปาร์ ดำเนินการวิจัยโดยกำหนดเคลือบพื้นฐานที่มีส่วนผสมของแมงกานีสไดออกไซด์ นิกเกิลออกไซด์ และคอปเปอร์ออกไซด์ แบบเจาะจงจากตารางสามเหลี่ยม จำนวน 15 สูตร ชั่งและบดความเร็วสูง 5 นาที เผาเคลือบที่อุณหภูมิ 1230 องศาเซลเซียส บรรยากาศแบบออกซิเดชัน วิเคราะห์การเกิดสี ความสว่างและค่าสีเคลือบด้วยเครื่องวัดค่าสี ผลการวิจัยพบว่า การเกิดสีของเคลือบมี 6 กลุ่มสี ดังนี้ 1) RAL-LS 7043 2) RAL-LS 7024 3) RAL-LS 7009 4) RAL-LS 7010 5) RAL-LS 7013 และ 6) RAL-LS 7003 ค่าความสว่าง ค่า L* อยู่ระหว่าง 25.05 ถึง 37.33 มีค่าสี a* อยู่ระหว่าง -0.65 ถึง 0.54 ค่าสี b* อยู่ระหว่าง -2.26 ถึง 6.58 ผิวเคลือบ มี 2 ลักษณะ 1) ผิวกึ่งมันกึ่งด้าน ได้แก่ สูตรที่ 7 11 12 และ 2) ผิวมันแวววาว ได้แก่ สูตรที่ 1 2 3 4 5 6 8 9 10 13 14 15 มีระดับความมันเงาอยู่ระหว่าง 30-85 GU และส่วนผสมที่ 4 7 8 11 ผิวเคลือบมีลักษณะเหมือนเปลือกส้ม ส่วนผสมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในงานศิลปะเซรามิกส์ และการพัฒนาเคลือบในอุตสาหกรรม ประกอบด้วย เฟลด์สปาร์ ร้อยละ 45 โดโลไมท์ ร้อยละ 10 แคลเซียมคาร์บอเนต ร้อยละ 13 ดินขาว ร้อยละ 7 และควอตซ์ ร้อยละ 25 และสามารถใช้ออกไซด์ ได้ดังนี้ 1) แมงกานีสไดออกไซด์ ร้อยละ 2 ถึงร้อยละ 6 2) นิกเกิลออกไซด์ ร้อยละ 2 ถึงร้อยละ 3 และ 3) คอปเปอร์ออกไซด์ ร้อยละ 2 ถึงร้อยละ 6</p>
จุมพฏ พงศ์ศักดิ์ศรี
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2024-12-27
2024-12-27
6 3
317
334
-
การประยุกต์ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อบกพร่องและผลกระทบ ในการบำรุงรักษาเครื่องจักรเพื่อการผลิตหินเจียร
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/psru-jite/article/view/253594
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ข้อบกพร่องและผลกระทบของเครื่องจักรที่มีต่อกระบวนการผลิตหินเจียร เพื่อทำแผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน และเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพและประสิทธิผลของเครื่องจักรเพื่อการผลิตหินเจียรของบริษัทมิตซุยไกรน์ดิ้ง เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด การดำเนินงานวิจัยโดยการค้นหาปัญหาและสาเหตุของการหยุดการทำงานของเครื่องบีบอัดตามปัจจัยการผลิต 5 ด้าน (4M1E) ก่อนใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อบกพร่องและผลกระทบพิจารณาหาค่าความเสี่ยงของประเด็นความบกพร่องที่มาจากปัจจัยด้านเครื่องจักร นำสู่การวางแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน ทดลองปฏิบัติตามแผนและวัดผลการทำงานของเครื่องจักร ผลการวิจัยพบว่า จากการวิเคราะห์หาสาเหตุของเครื่องจักรหยุดทำงานและวิเคราะห์ข้อบกพร่องและผลการทบของเครื่องจักร ได้จำนวน 14 ประเด็น นำสู่การวางแผนการบำรุงรักษาเครื่องบีบอัดที่ครอบคลุม 3 รอบเวลาและ 4 กิจกรรมได้แก่การบำรุงรักษาประจำวันด้วยการทำความสะอาดและการตรวจสอบ การบำรุงรักษาประจำสัปดาห์ได้แก่การหล่อลื่น และการบำรุงรักษาประจำปีได้แก่การเปลี่ยนอะไหล่ ผลการใช้แผนการบำรุงรักษาเครื่องจักรพบว่า เครื่องบีบอัดมีประสิทธิภาพการบำรุงรักษาดีขึ้น ได้แก่ เวลาของเครื่องจักรต่อเนื่องเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เวลาหยุดซ่อมเฉลี่ยลดลง อัตราการเสียลดลง และอัตราการใช้งานเครื่องจักรเพิ่มขึ้น รวมทั้งเครื่องบีบอัดมีค่าประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรเพิ่มขึ้น ที่มาจากการเพิ่มขึ้นของค่าอัตราการเดินเครื่อง ค่าประสิทธิภาพการเดินเครื่อง และค่าอัตราคุณภาพ</p>
ฤดี นิยมรัตน์
เบญจลักษณ์ เมืองมีศรี
ไสว ศิริทองถาวร
สมเกียรติ กอบัวแก้ว
พงศ์ระพี แก้วไทรฮะ
ภูภัศ ปภาณ์ณภาภูมิษ์
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2024-12-28
2024-12-28
6 3
335
353
-
การศึกษาคุณสมบัติของวัสดุรองพื้นทางแอสฟัลต์คอนกรีตเก่าเป็นส่วนผสม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/psru-jite/article/view/254378
<p> ชั้นรองพื้นทางเป็นชั้นโครงสร้างของถนนที่ทำหน้าที่รับน้ำหนักของยานพาหนะบนชั้นผิวทางลงมายังชั้นโครงสร้างทางอื่น ๆ ดังนั้นวัสดุที่จะนำมาก่อสร้างชั้นรองพื้นทางจึงต้องเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติทางวิศวกรรมที่ดีและมีความสามารถในการรับน้ำหนักได้ตามมาตรฐานงานถนน งานวิจัยนี้นำเสนอการนำวัสดุผิวทางเก่าที่เหลือจากการขูดไสผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีตเก่า (RAP) จากโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงหมายเลข 101 สายทางกำแพงเพชร-สุโขทัย ตอนแยก อ.ลานกระบือ-อ.คีรีมาศ จ.กำแพงเพชร กม. 33+000 - กม. 36+010 โดยผสมกับดินลูกรังจากแหล่ง อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร เพื่อนำมาใช้เป็นวัสดุชั้นรองพื้นทาง ผู้วิจัยทำการทดสอบคุณสมบัติพื้นฐานของวัสดุ และได้แบ่งตัวอย่างอัตราส่วนผสม ดินลูกรัง : แอสฟัลต์คอนกรีตเก่า เท่ากับ 1:1, 2:1 และ 3:1 โดยน้ำหนัก จากนั้นทำการทดสอบคุณสมบัติการบดอัด (Compaction test) แบบสูงกว่ามาตรฐาน (Modified compaction) และการทดสอบหาค่าซีบีอาร์ (CBR) แบบแช่น้ำ (Soaked) ที่ 4 วัน พบว่าปริมาณน้ำที่เหมาะสมในการบดอัดวัสดุผิวทางดินลูกรังกับแอสฟัลต์คอนกรีตเก่ามีค่าเท่ากับร้อยละ 4.0, 6.0 และ 7.6 ตามลำดับ สำหรับกำลังรับน้ำหนักของดินที่ได้จากการทดสอบหาค่าซีบีอาร์ (CBR) มีค่าเท่ากับร้อยละ 9.5, 28.4 และ 40.7 ซึ่งอัตราส่วนผสมที่ 2:1 และ 3:1 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของชั้นรองพื้นทางของถนน ดังนั้นการนำวัสดุผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีตเก่ามาหมุนเวียนใช้งานเป็นวัสดุคัดเลือกทดแทนในอุตสาหกรรมงานก่อสร้างทาง จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนวัสดุงานทางในอนาคต</p>
ขวัญชัย เทศฉาย
บำรุง บัวชื่น
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2024-12-29
2024-12-29
6 3
354
364
-
การเปลี่ยนแปลงปริมาณของเบนทอไนต์ เฟอร์ริกออกไซด์ แมงกานีสไดออกไซด์ และนิเกิลออกไซด์ต่อลักษณะ ที่ปรากฏของเคลือบเซรามิกส์ที่อุณหภูมิ 1230 องศาเซลเซียส
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/psru-jite/article/view/255746
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงปริมาณของเบนทอไนต์ เฟอร์ริกออกไซด์ แมงกานีสไดออกไซด์ และนิเกิลออกไซด์ที่ส่งผลต่อการปรากฏสี และลักษณะที่ปรากฏของเคลือบเซรามิกส์ โดยกำหนดเคลือบพื้นฐานที่มีส่วนผสมของ เฟลด์สปาร์ โดโลไมท์ แคลเซียมคาร์บอเนตดินขาว ควอตซ์ และใช้สารเพิ่มเติมแบบเจาะจง ร้อยละ 1 ถึงร้อยละ 9 ได้แก่ 1) เบนทอไนต์กับเฟอร์ริกออกไซด์ 2) เบนทอไนต์กับแมงกานีสไดออกไซด์ และ 3) เบนทอไนต์กับนิเกิลออกไซด์ จำนวน 27 ส่วนผสม เผาที่อุณหภูมิ 1230 องศาเซลเซียส บรรยากาศแบบออกซิเดชั่น ผลการวิจัยพบว่า เคลือบเซรามิกส์ทุกส่วนผสมมีโทนสีน้ำตาล มีลักษณะความมันแวววาวและกึ่งด้านกึ่งมัน และทุกสูตรมีความสมบูรณ์ไม่มีตำหนิ ส่วนผสมที่สามารถนำไปประยุกต์ปรับปรุงพัฒนาเคลือบในอุตสาหกรรมเซรามิกส์ ประกอบด้วย เฟลด์สปาร์ ร้อยละ 45 โดโลไมท์ ร้อยละ 10 แคลเซียมคาร์บอเนต ร้อยละ 13 ดินขาว ร้อยละ 7 และควอตซ์ ร้อยละ 25 และสามารถใช้สารเพิ่มเติมในส่วนผสม ได้ดังนี้ 1) เบนทอไนต์ ร้อยละ 1 ถึงร้อยละ 6 ผสมกับเฟอร์ริกออกไซด์ ร้อยละ 4 ถึงร้อยละ 9 2) เบนทอไนต์ ร้อยละ1 ถึงร้อยละ 9 ผสมกับแมงกานีสไดออกไซด์ ร้อยละ 1 ถึงร้อยละ 9 และ 3) เบนทอไนต์ ร้อยละ 5 ถึง ร้อยละ 9 ผสมกับนิเกิลออกไซด์ร้อยละ 1 ถึงร้อยละ 5</p>
จุมพฏ พงศ์ศักดิ์ศรี
ปิยธิดา บุญเพชร
ศุภวิชญ์ บัวทอง
อุษา อินทร์ประสิทธิ์
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2024-12-29
2024-12-29
6 3
365
381
-
DEVELOPING A DATA VISUALIZATION DASHBOARD FOR DECISION SUPPORT IN MULTI-BRANCH SHOP ORDERING: A CASE STUDY OF A DRUGSTORE IN PHITSANULOK, THAILAND
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/psru-jite/article/view/256984
<p> Managing inventory efficiently across multiple branches poses significant challenges, particularly in the drugstore industry. This paper explored these challenges through a case study of drugstores in Phitsanulok, Thailand, which operate under a central ordering system yet struggle with discrepancies between ordered and received inventory due to a lack of visibility across branches. To address these inefficiencies, we proposed a data visualization dashboard designed to support inventory decisions and enhanced inventory management by providing updated inventory data for all branches. This study introduced a conceptual framework for the dashboard, analyzing current ordering processes, identifying key challenges, and suggesting system improvements. Our findings suggest that implementing such a dashboard can significantly improve decision-making and operational efficiency, serving as a model for similar multi-branch businesses.</p>
Woramol C. Watanabe
Chiraphat Khamhinlat
Natnicha Kornsootwong
Suchanya Chanraksa
Thanyada Wongthanyakorn
Titaya Luechakam
Sunun Tati
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2024-12-30
2024-12-30
6 3
382
394
-
การจัดเส้นทางและตารางเวลาเดินรถสำหรับการจัดส่งไข่ไก่
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/psru-jite/article/view/253327
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่ายขนส่งสำหรับปัญหาการจัดเส้นทางและตารางเวลาเดินรถการจัดส่งไข่ไก่ของกรณีศึกษาโดยการแก้ปัญหามี 2 ระยะคือการสร้างคำตอบเริ่มต้น (Initial solution) และพัฒนาคำตอบ ระยะแรกเป็นการสร้างคำตอบเริ่มต้นด้วยวิธีฮิวริสติก 3 วิธีซึ่งประกอบด้วยวิธีเพื่อนบ้านใกล้สุด (Nearest neighbor method) วิธีการกวาด (Sweep algorithm) และวิธีการแบบประหยัด (Saving algorithm) ผลพบว่าสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ 7.41% 8.94% และ 11.42% ตามลำดับ ในระยะที่สองแผนการจัดส่งจะถูกพัฒนาคำตอบด้วยวิธีการค้นหาแบบทาบู (Tabu search algorithm) ซึ่งผลการศึกษาพบว่าแผนขนส่งที่ได้จากพัฒนาคำตอบของแผนจากวิธีปัจจุบัน วิธีเพื่อนบ้านใกล้สุด วิธีการกวาด และวิธีการแบบประหยัดสามารถลดค่าใช้จ่ายจากวิธีการปัจจุบันได้ 12.67% 12.42% 12.44% และ 12.67% ตามลำดับ</p>
ศักดิ์ดา คำจันทร์
หทัยชนก ศรีบุญเรือง
วิเรขา คำจันทร์
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2024-12-30
2024-12-30
6 3
395
408
-
การศึกษาความเป็นไปได้ของการผลิตไฟฟ้าและความร้อนจากเซลล์แสงอาทิตย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/psru-jite/article/view/256610
<p> งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการผลิตไฟฟ้าและความร้อนจากเซลล์แสงอาทิตย์ โดยการศึกษาจะเป็นการทดสอบการทำงานของระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งไม่เกิน 500 W และมีการติดตั้งชุดระบายความร้อนที่ทำจากท่อทองแดงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1/2” ยาว 1,050 mm. จำนวน 12 ท่อต่อร่วมกับท่อร่วม หรือ ท่อ Header ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5/8” ที่มีความยาว 800 mm. จำนวน 2 ท่อ (ด้านบนและด้านล่าง) ผลการทดสอบที่อัตราการไหลของน้ำระบายความร้อนแตกต่างกัน 3 ค่า 50, 100 และ 150 LPH พบว่า การติดตั้งชุดระบายความร้อนออกจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์จะช่วยให้ประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยรวมของระบบเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากระบบสามารถนำเอาน้ำร้อนที่เกิดจากการระบายความร้อนออกจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ซึ่งโดยปกติไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ โดยประสิทธิภาพของเซลล์แสงอาทิตย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเมื่ออัตราการไหลของน้ำระบายความร้อนเพิ่มสูงขึ้น และประสิทธิภาพของเซลล์แสงอาทิตย์จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อระบบมีอัตราการไหลของน้ำระบายความร้อนเท่ากับ 150 LPH และระบบจะสามารถเพิ่มอุณหภูมิของน้ำจาก 27.5 ºC ไปเป็นอุณหภูมิสุดท้าย 41.4 ºC โดยคิดเป็นปริมาณความร้อนที่ผลิตได้ 10,684.08 kJ</p>
สรวิศ สอนสารี
สมชาย เจียจิตต์สวัสดิ์
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2024-12-30
2024-12-30
6 3
409
424
-
การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคำสั่งซื้อในธุรกิจค้าส่งอาหารสด
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/psru-jite/article/view/257048
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่รองรับการทำงานในทุกอุปกรณ์ (Responsive design) สำหรับการจัดการคำสั่งซื้อในธุรกิจค้าส่งอาหารสด ซึ่งเดิมประสบปัญหาจากการใช้ไลน์แชท ทำให้เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาด คำสั่งซื้อสูญหาย และการจัดลำดับคำสั่งซื้อที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางการเงินและกระบวนการทำงานที่ล่าช้า การพัฒนาเว็บ แอปพลิเคชันนี้ใช้หลักการ CRUD (Create, Read, Update, Delete) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล ลดระยะเวลาและข้อผิดพลาดในการดำเนินการ ผลการทดสอบแอปพลิเคชันเป็นเวลา 60 วัน พบว่า สามารถลดเวลาเฉลี่ยในการจัดการคำสั่งซื้อจาก 4 นาทีเหลือ 1 นาที (ลดลง 75%) และ ลดความผิดพลาดในการจัดเตรียมสินค้าจากเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2 รายการต่อวัน เหลือ 0 รายการ (ลดลง 100%) ส่งผลให้สามารถลดมูลค่าความเสียหายได้ถึง 13,087,000 บาทต่อปี นอกจากนี้ จากการสำรวจความพึงพอใจของพนักงาน 18 คน พบว่า แอปพลิเคชันได้รับคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจภาพรวมที่ 4.82 จาก 5 ซึ่งแสดงถึงความพึงพอใจที่สูงในด้านการใช้งาน ความเสถียร และรูปแบบการแสดงผล การพัฒนาแอปพลิเคชันนี้จึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการจัดการคำสั่งซื้อ ลดความเสียหาย และเพิ่มความพึงพอใจในการทำงานของพนักงานได้อย่างมีนัยสำคัญ</p>
วัชระ กลางกระโทก
ชิตณรงค์ เพ็งแตง
พันธุ์ธิดา ลิ้มศรีประพันธ์
วชิระ ลิ้มศรีประพันธ์
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2024-12-30
2024-12-30
6 3
425
435