https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/issue/feed
วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ
2024-12-29T21:29:08+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดิเรก บุญธรรม
utk_research_journal@mail.rmutk.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิจัย มทร.กรุงเทพ <strong>Print</strong> <strong>ISSN</strong> 1906-0874 <strong>Online</strong> ISSN 2651-2130 สาขาวิชาของวารสารสหวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนา ได้มีการจัดทำวารสารอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานมากกว่า 9 ปี จนถึงปัจจุบันเผยแพร่เป็นราย 6 เดือน ซึ่งเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ และมีการดำเนินงานจัดพิมพ์บทความประเภทต่าง ๆ ได้แก่ บทความวิจัยและบทความวิชาการ</p>
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/255185
การพัฒนาโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์สำหรับการตรวจวิเคราะห์เซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
2024-08-26T13:54:05+07:00
สุชาดา เกตุดี
suchada.k@rmutp.ac.th
ทิวาพร เทศสวัสดิ์วงศ์
suchada.k@rmutp.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ หรือโปรแกรมเอไอสำหรับตรวจวิเคราะห์เซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ชนิด urothelial carcinoma โดยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ในการอ่านผลเซลล์วิทยาของปัสสาวะ เพื่อช่วยให้สามารถวิเคราะห์และจำแนกเซลล์กระเพาะปัสสาวะ (urothelial cells) ตามเกณฑ์ของ The Paris System for Reporting Urinary Cytology, version 2.0 โดยใช้เทคนิคโครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชัน (Convolutional Neural Network, CNN) โดยเลือกใช้อัลกอริทึมเดนซ์เน็ต (DenseNet121) เนื่องจากเป็นอัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมสำหรับเป็นแบบจำลอง (model) ที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมเอไอ โดยใช้ข้อมูลเซลล์กระเพาะปัสสาวะจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติในการสร้างชุดฝึกสอนชุดตรวจสอบและชุดทดสอบแบบจำลอง ผู้วิจัยประเมินประสิทธิภาพแบบจำลองด้วยการหาค่าความไว (sensitivity) ค่าความจำเพาะ (specificity) ค่าความถูกต้อง (accuracy) และค่าความเที่ยงตรง (precision) และหาค่าความเชื่อถือได้ในการให้คำวินิจฉัยเซลล์กระเพาะปัสสาวะระหว่างโปรแกรมเอไอกับพยาธิแพทย์ จำนวน 50 คน (benchmark) โดยหาค่าความสอดคล้องในการให้ผลวินิฉัยจากการหาค่าสัมประสิทธิ์ Cohen’s kappa และการหาค่าทดสอบมัธยฐาน ส่วนการหาความแม่นตรงตามเกณฑ์ (criterion volatility) ผู้วิจัยใช้คำวินิจฉัยของทีมพยาธิแพทย์และนักเซลล์วิทยาเป็นเกณฑ์มาตรฐาน (gold standard) ผลจากการวิจัยพบว่าค่าความไว ค่าความจำเพาะ ค่าความถูกต้อง และค่าความเที่ยงตรง ร้อยละ 97.50, 100, 98.33 และ 100 ตามลำดับ มีค่า kappa <br />0.716 - 0.970 ซึ่งมีความสอดคล้องในระดับดี - ดีมาก และมีค่าการทดสอบมัธยฐานของค่าความสอดคล้องในการให้คำวินิจฉัยไม่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์สำหรับการตรวจวิเคราะห์เซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะเป็นเครื่องมือที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจทางการแพทย์ในการวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ดี</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย มทร.กรุงเทพ
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/254078
การศึกษาสมบัติทางเคมีและกายภาพของดินปั้นที่ใช้ในงานประดิษฐ์
2024-10-11T12:43:10+07:00
นภารัตน์ พวงมาลัย
1164106090114@mail.rmutt.ac.th
ดลพร นิลบรรจง
1164106090130@mail.rmutt.ac.th
โสภิดา วิศาลศักดิ์กุล
sopida_w@rmutt.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมบัติทางเคมีและกายภาพของดินปั้นสำหรับงานประดิษฐ์ และศึกษาการใช้สีชนิดต่างๆ สำหรับดินปั้นในงานประดิษฐ์ ซึ่งดำเนินการศึกษาจากลักษณะของดินปั้น 3 ชนิด ประกอบด้วย ดินญี่ปุ่น ดินไทย และดินเยื่อกระดาษ โดยปัจจัยที่ทำการศึกษา คือ ชนิดของสีที่นำมาใช้ในการศึกษา แปรเป็น 3 ชนิด ประกอบด้วย สีผสมอาหาร สีอะคริลิค สีน้ำมัน และศึกษาปริมาณของสี แปรเป็น 2 ระดับ ประกอบด้วย ร้อยละ 5 และ 10 ของน้ำหนักดินปั้น ทำการวางแผนการทดลองแบบ Factorial in CRD จะได้ทั้งหมด 6 สิ่งทดลอง ต่อดินปั้น 1 ชนิด ผลการศึกษาวิจัยพบว่าดินปั้นแต่ละชนิดมีความเหมาะสมในการนำมาผสมสีที่แตกต่างกัน โดยดินญี่ปุ่นเหมาะสำหรับผสมด้วยสีอะคริลิคในปริมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักดินปั้นโดยมีค่าร้อยละความชื้นเท่ากับ 39.32 และมีค่าความต้านทานแรงกดเท่ากับ 10.43 นิวตัน สำหรับดินไทยเหมาะสำหรับผสมด้วยสีผสมอาหารในปริมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักดินปั้นโดยมีค่าร้อยละความชื้นเท่ากับ 18.91 และมีค่าความต้านทานแรงกดเท่ากับ 10.43 นิวตัน สุดท้ายดินเยื่อกระดาษเหมาะสำหรับผสมด้วยสีน้ำมันในปริมาณร้อยละ 5 ของน้ำหนักดินปั้นโดยมีค่าร้อยละความชื้นเท่ากับ 25.16 และมีค่าความต้านทานแรงกดเท่ากับ 12.43 นิวตัน ซึ่งดินปั้นที่นำมาใช้ในงานประดิษฐ์มีความเหมาะสมในการนำไปขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายรูปแบบตามลักษณะเนื้อสัมผัสของดินปั้นแต่ละชนิด</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย มทร.กรุงเทพ
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/254163
การหาภาวะที่เหมาะสมในการลดปริมาณกรดไขมันอิสระในน้ำมันมะพร้าวด้วยปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชันโดยใช้แอมเบอร์ลิสต์ 15 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
2024-09-11T13:54:41+07:00
ศิรดา คชสวัสดิ์
635020300029@mail.rmutk.ac.th
จิรภา ใจดี
635020300011@mail.rmutk.ac.th
ศศิวิมล วุฒิกนกกาญจน์
sasiwimol.w@mail.rmutk.ac.th
กนกพร บุญทรง
kanokporn.b@mail.rmutk.ac.th
อิ่มหรอน ทิ้งผอม
imron@bangchak.co.th
ปิยนุช นาคพงศ์
piyanuch.n@mail.rmutk.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาภาวะที่เหมาะสมในการลดปริมาณกรดไขมันอิสระในน้ำมันมะพร้าวให้เหลือต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักด้วยปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชันกับเมทานอลโดยใช้แอมเบอร์ลิสต์ 15 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา โดยน้ำมันมะพร้าวซึ่งใช้เป็นสารตั้งต้นมีปริมาณกรดไขมันอิสระ 3.93 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก สำหรับการวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาผลของตัวแปรชนิดต่างๆ ที่สำคัญที่มีต่อปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน 4 ชนิด ได้แก่ ปริมาณเมทานอล (5, 10, 20 และ 30 เปอร์เซ็นต์โดยปริมาตร) ปริมาณตัวเร่งปฏิกิริยา (0, 5, 7.5 และ 10 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักต่อปริมาตรของน้ำมัน) อุณหภูมิในการเกิดปฏิกิริยา (40, 50 และ 60 องศาเซลเซียส) และเวลาในเกิดปฏิกิริยา (0.5, 1, 1.5 และ 2 ชั่วโมง) ผลที่ได้จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าภายใต้ภาวะที่เหมาะสม ปริมาณกรดไขมันอิสระในน้ำมันมะพร้าวลดลงเหลือ 0.90 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก โดยตัวแปรทั้ง 4 ชนิด มีผลในเชิงบวกต่อปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชันของกรดไขมันอิสระในน้ำมันมะพร้าว ยกเว้นเมื่อใช้ปริมาณเมทานอลที่ 20 และ 30 เปอร์เซ็นต์โดยปริมาตร</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย มทร.กรุงเทพ
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/254590
Assessment of Occupational Heat Exposure among Power Plant Workers in the Context of Climate Change
2024-09-23T15:03:27+07:00
Somboon Chaiprakarn
s.chaiprakarn@gmail.com
Chanakarn Sakulthaew
panudech.s@mail.rmutk.ac.th
Mongkol Ratcha
panudech.s@mail.rmutk.ac.th
Panudet Saengseedam
panudech.s@mail.rmutk.ac.th
<p>Heat stress in the power plant process is considered a serious threat to health and safety of workers. This study aimed to examine the perform heat stress assessment according to the WBGT index among power plant workers in the context of climate change. The study was conducted in 23 operating locations and among workers involved in the electricity production process at a power plant in Rayong Province, Thailand. The study's instruments include Wet Bulb Globe Temperature (WBGT) monitor and heat stress assessment. The heat index was calculated to assess the impact of heat exposure on the study area. The results of this study shown that the wet bulb globe temperature (WBGT) value during work is within the defined range 22.7-32.5 <sup>o</sup>C. The relative humidity is in the range of 67-70 percent. The metabolic rate is 198.5 kilocalories per hour can categorized as having a light workload. In comparison to the standard values established by the American Conference of Governmental Industrial Hygiene (ACGIH) threshold limit values (TLVs) for heat stress. Most of them are within the specified range of values. Assessing potential hazards of heat exposure using heat index measures. a lot of them require extreme careful because sunstroke, heat cramps, and heat exhaustion can happen after a while of being exposure to the sun while performing physical activities. Thailand's climate could impact people's health and productivity at work.</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย มทร.กรุงเทพ
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/255073
ผลเฉลยของสมการไดโอแฟนไทน์ p^x+(p+3n)^y=z^2 เมื่อ p,p+3n เป็นจำนวนเฉพาะ และ n เป็นจำนวนเต็มที่ไม่เป็นลบ
2024-12-02T14:03:07+07:00
ศิริจันทร์ เวสารัชศาต
sirichan@mathstat.sci.tu.ac.th
กตัญญู บุญชุ่มใจ
katunyu.boo@dome.tu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้เราศึกษาสมการไดโอแฟนไทน์ <img title="p^x+(p+3n)^y=z^2" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?p^x+(p+3n)^y=z^2"> เมื่อ <img title="x,y,z,n" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?x,y,z,n"> เป็นจำนวนเต็มที่ไม่เป็นลบ, <img title="p,p+3n" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?p,p+3n"> เป็นจำนวนเฉพาะ เราพบว่าเมื่อ <img title="p\equiv1(mod3)" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?p\equiv1(mod3)"> สมการนี้ไม่มีผลเฉลย ถ้า <img title="p\equiv0(mod3)" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?p\equiv0(mod3)"> แล้วสมการนี้มีผลเฉพาะเมื่อ <img title="p=3" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?p=3"> เท่านั้น สำหรับกรณี <img title="p\equiv2(mod3)" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?p\equiv2(mod3)"> และ <img title="x+y\leq 3" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?x+y\leq&space;3"> สมการนี้มีผลเฉลยเป็น</p> <p><img title="\left ( x,y,z,p,n \right )=\left ( 0,3,3,2,0 \right ),\left ( 3,0,3,2,n \right ),\left ( 1,1,\sqrt{2p+3n},p,n \right ),\left ( 2,2,\sqrt{p^2+p+3n},p,n \right )" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\left&space;(&space;x,y,z,p,n&space;\right&space;)=\left&space;(&space;0,3,3,2,0&space;\right&space;),\left&space;(&space;3,0,3,2,n&space;\right&space;),\left&space;(&space;1,1,\sqrt{2p+3n},p,n&space;\right&space;),\left&space;(&space;2,2,\sqrt{p^2+p+3n},p,n&space;\right&space;)"></p> <p>สำหรับบางจำนวนเต็มที่ไม่เป็นลบ <img title="n" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?n">, <img title="p,p+3n" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?p,p+3n"> เป็นจำนวนเฉพาะและ <img title="\sqrt{2p+3n},\sqrt{p^2+p+3n}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\sqrt{2p+3n},\sqrt{p^2+p+3n}"> เป็นจำนวนเต็มบวก</p> <p>นอกจากนี้เราได้หาผลเฉลยที่เป็นจำนวนเต็มที่ไม่เป็นลบของสมการไดโอแฟนไทน์ <img title="3^x+3^y=z^2" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?3^x+3^y=z^2"> ซึ่งก็คือ <img title="\left ( x,y,z \right )=\left ( 2k,2k+1,2\cdot3^k \right )" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\left&space;(&space;x,y,z&space;\right&space;)=\left&space;(&space;2k,2k+1,2\cdot3^k&space;\right&space;)"> เมื่อ <img title="k" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?k"> เป็นจำนวนเต็มที่ไม่เป็นลบ</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย มทร.กรุงเทพ
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/251871
ความสัมพันธ์ระหว่างระยะการแอ่นและน้ำหนักบรรทุกของพาเลทเหล็ก
2024-09-23T14:08:07+07:00
กุลทรัพย์ ผ่องศรีสุข
amnad_rmutl@hotmail.co.th
นนท์ แสนคำแพ
chawalit.kh@ku.th
ประสงค์ อิงสุวรรณ
chawalit.kh@ku.th
อำนาจ ตงติ๊บ
amnad_rmutl@hotmail.co.th
ชวลิต คณากรสุขสันต์
amnad_rmutl@hotmail.co.th
<p>งานวิจัยนี้เป็นการหาความสัมพันธ์ระหว่างระยะการแอ่นกับน้ำหนักบรรทุกของพาเลทเหล็ก เพื่อทำนายระยะการแอ่นเมื่อน้ำหนักบรรทุกของพาเลทเหล็กมีค่าแปรเปลี่ยน โดยจะทำการสร้างแบบจำลองพาเลทเหล็กในไฟไนต์เอลิเมนต์ซอฟต์แวร์ ที่มีความคลาดเคลื่อนสัมพัทธ์ของระยะการแอ่นจากการทดสอบจริงไม่เกินร้อยละ 10 จากนั้นนำผลการคำนวณระยะการแอ่น 5 ตำแหน่ง ที่ได้จากไฟไนต์เอลิเมนต์ซอฟต์แวร์ เมื่อแบบจำลองพาเลทเหล็กรับน้ำหนักบรรทุก 240, 480, 720, 960 และ 1200 กิโลกรัม มาสร้างสมการความสัมพันธ์โดยระเบียบวิธีวิเคราะห์แบบถดถอย ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่าแบบจำลองพาเลทเหล็กในไฟไนต์เอลิเมนต์ซอฟต์แวร์สามารถทำนายระยะการแอ่นของพาเลทเหล็กโดยมีความคลาดเคลื่อนสัมพัทธ์น้อยกว่าร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับผลการวัดระยะการแอ่นที่ได้จากการทดสอบจริง และสมการเชิงเส้นสามารถทำนายระยะการแอ่นกับน้ำหนักบรรทุกของพาเลทเหล็กได้ ทำให้ในทางปฏิบัติสามารถคำนวณระยะการแอ่นเมื่อน้ำหนักบรรทุกของพาเลทเหล็กมีค่าแปรเปลี่ยนได้โดยการเทียบบัญญัติไตรยางค์</p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย มทร.กรุงเทพ
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256239
ผลของอัตราไหลแก๊สออกซิเจนต่อโครงสร้างของฟิล์มบางเซอร์โคเนียมออกซิไนไตรด์ ที่เคลือบด้วยวิธีรีแอคตีฟดีซีแมกนีตรอนสปัตเตอริง
2024-11-18T15:55:25+07:00
สิรีพัชร แสงสว่าง
siree.light@gmail.com
จินดาวรรณ จันทมาส
Jindawanaru@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้ได้เตรียมฟิล์มบางเซอร์โคเนียมออกซิไนไตรด์ เพื่อศึกษาผลของอัตราการไหลของออกซิเจนของต่อโครงสร้างฟิล์มบางเซอร์โคเนียมออกซิไนไตรด์ การศึกษาโครงสร้างผลึกและลักษณะพื้นผิวของฟิล์มด้วยเทคนิค AFM, FE-SEM และ Raman Spectroscopy จากผลการศึกษาพบว่าเมื่อเพิ่มอัตราไหลแก๊สออกซิเจนฟิล์มบางเซอร์โคเนียมออกซิไนไตรด์เปลี่ยนจากสีเหลืองทองทึบแสงเป็นสีเหลืองและใส ที่อัตราไหลแก๊สออกซิเจนในช่วง 0.4 sccm และ 0.8 sccm ได้ฟิล์มบางเซอร์โคเนียมออกซิไนไตรด์ (Zr<sub>2</sub>ON<sub>2</sub>) ที่มีโครงสร้างผลึกแบบบอดี้-เซนเตอร์ คิวบิค (bcc) ที่ระนาบ (211), (222), (400), (332), (440) และ (622) ตามลำดับ โดยมีระนาบ (222) เป็นระนาบหลัก โดยที่อัตราไหลแก๊สออกซิเจนเท่ากับ 0.4 sccm มีความเป็นผลึกสูงที่สุด และอัตราไหลแก๊สออกซิเจนมีผลต่อความหนาของฟิล์มบาง คือเมื่ออัตราไหลแก๊สออกซิเจนเพิ่มขึ้นจาก 0.4 เป็น 0.8 sccm พบว่าฟิล์มบางที่เคลือบได้มีขนาดผลึกลดลงจาก 32.26 nm เป็น 23.18 nm และความหนาลดลงจาก 965 nm เป็น 859 nm </p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย มทร.กรุงเทพ
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256087
การทดลองหาประสิทธิภาพและการพัฒนาเครื่องทำน้ำข้าวกล้องงอกกึ่งอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มผลผลิตและประหยัดพลังงาน
2024-10-18T15:08:50+07:00
รัชดาศักดิ์ สุเพ็งคำ
rachadasak.s@rmutp.ac.th
สุทธิพงษ์ จำรูญรัตน์
suttipong.j@rmutp.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้นำเสนอการพัฒนาเครื่องทำน้ำข้าวกล้องงอกกึ่งอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มผลผลิต และประหยัดพลังงาน ทดลองหาประสิทธิภาพ และเปรียบเทียบเครื่องที่พัฒนาขึ้นกับเครื่องแบบเดิม วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อลดขั้นตอนในการผลิตน้ำข้าวกล้องงอก และเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นในแต่ละครั้งของการผลิต ดังนั้นการทำให้ข้าวกล้องที่ผ่านกรรมวิธีการสีเพียงครั้งเดียวนั้น ส่งผลทำให้ข้าวที่เหลือยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวอยู่ครบถ้วน ทำให้ยังคงวิตามินแร่ธาตุ และเส้นใยอาหาร น้ำข้าวกล้องจึงเป็นทางเลือกที่คนส่วนใหญ่นิยมบริโภคซึ่งมีรสชาติอร่อย และคุณค่าทางอาหาร ดังนั้นบทความนี้จึงได้มีการพัฒนาเครื่องทำน้ำข้าวกล้องงอกกึ่งอัตโนมัติ โดยกำหนดขอบเขตกำลังการผลิตให้ได้กำลังการผลิต15ลิตรต่อครั้ง ซึ่งจะมีระบบสั่งการทำงานด้วยตู้ควบคุมการทำงานของเครื่องทำน้ำข้าวกล้องงอกกึ่งอัตโนมัติ และยังสามารถแก้ไขคำสั่งการทำงานของฮีตเตอร์ และทามเมอร์ได้ และมีการประหยัดพลังงานอีกด้วย ส่วนผลลัพธ์ประสิทธิภาพของเครื่องที่พัฒนาขึ้นมามีความเสถียรในการทำงาน และมีประสิทธิภาพกว่าเครื่องเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ </p>
2024-12-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย มทร.กรุงเทพ