วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk <p>วารสารวิจัย มทร.กรุงเทพ <strong>Print</strong> <strong>ISSN</strong> 1906-0874 <strong>Online</strong> ISSN 2651-2130 สาขาวิชาของวารสารสหวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนา ได้มีการจัดทำวารสารอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานมากกว่า 9 ปี จนถึงปัจจุบันเผยแพร่เป็นราย 6 เดือน ซึ่งเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ และมีการดำเนินงานจัดพิมพ์บทความประเภทต่าง ๆ ได้แก่ บทความวิจัยและบทความวิชาการ</p> th-TH <p>กองบรรณาธิการวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ มีความยินดีที่จะรับบทความจากอาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง&nbsp; รวมถึงสาขาต่างๆ ที่มีการบูรณาการข้ามศาสตร์ที่เกี่ยวข้องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เขียนเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ซึ่งผลงานวิชาการที่ส่งมาขอตีพิมพ์ต้องไม่เคยเผยแพร่ในสิ่งพิมพ์อื่นใดมาก่อน และต้องไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น</p> <p>การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ส่งบทความโดยตรง บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิและได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ</p> <p>ข้อความที่ปรากฏอยู่ในแต่ละบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเล่มนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่าน ไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพแต่อย่างใด ความรับผิดชอบด้านเนื้อหาและการตรวจร่างบทความแต่ละบทความเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะต้องรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> <p>กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์มิให้นำเนื้อหา หรือข้อคิดเห็นใดๆ ของบทความในวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการ อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร</p> utk_research_journal@mail.rmutk.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดิเรก บุญธรรม) utk_research_journal@mail.rmutk.ac.th (เจ้าหน้าที่วารสาร) Mon, 30 Jun 2025 17:00:36 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันการจัดการรับฝากรถยนต์และแจ้งเตือนผ่านไลน์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/253950 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันการจัดการรับฝากรถยนต์ ซึ่งจะมีการแจ้งเตือนข้อมูลผ่านไลน์ และประเมินเว็บแอปพลิเคชันจากการทดสอบใช้งานและตอบแบบสอบถาม โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ภาษาโปรแกรม PHP ฐานข้อมูล MySQL แอปพลิเคชันไลน์ และแบบสอบถาม ผู้วิจัยได้ออกแบบและแบ่งการใช้งานเป็นผู้ใช้ 3 กลุ่ม คือ ผู้ให้บริการ ลูกค้ารายเดือน และลูกค้ารายวัน ผู้ให้บริการสามารถลงทะเบียนข้อมูลสมาชิกและรถ ทำสัญญาการรับฝาก รับชำระเงิน แจ้งเตือนข้อมูลถึงเวลาจ่ายเงิน แจ้งเตือนข้อมูลใกล้สิ้นสุดสัญญาให้กับลูกค้ารายเดือน ส่วนลูกค้ารายวัน ผู้ให้บริการสามารถลงทะเบียนรับฝากและคืนรถ แจ้งเตือนข้อมูลวันคืนรถและข้อมูลใกล้ถึงเวลาร้านปิด นอกจากนี้ผู้ให้บริการสามารถพิมพ์รายงานการรับฝากรถ ตั้งค่าเวลาเปิด-ปิดร้าน และกำหนดอัตราค่าบริการรับฝากรถได้ ในส่วนของลูกค้ารายเดือนดูข้อมูลสัญญา ข้อมูลการชำระเงิน รับการแจ้งเตือนผ่านไลน์ได้ และลูกค้ารายวันรับการแจ้งเตือนผ่านไลน์ได้ ผลการวิจัยพบว่าเว็บแอปพลิเคชันนี้ทำงานได้อย่างถูกต้อง และผลประเมินความพึงพอใจในการทำงานของเว็บแอปพลิเคชันนี้โดยผู้ทดสอบจำนวน 35 คน พบว่าผลการประเมินอยู่ในระดับความพึงพอใจมาก มีค่าเฉลี่ยรวม 4.39 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.68 สามารถนำเว็บแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นนี้มาใช้งานได้ ช่วยให้ง่ายต่อการจัดการข้อมูลการรับฝากรถ สำหรับงานที่สามารถพัฒนาเพิ่มเติมได้ในส่วนการต่อสัญญาอัตโนมัติโดยไม่ต้องทำสัญญาใหม่ เพื่อให้เว็บแอปพลิเคชันนี้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนสำหรับการใช้งานต่อไป</p> รสนันท์ ยอดสกุล, สุดา เธียรมนตรี, อรยา ปรีชาพานิช, สุวิมล จุงจิตร์, นิชากรณ์ พันธ์คง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/253950 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านแบคทีเรียในช่องปากของสารสกัดจากเปลือกมังคุด https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/255701 <p>งานวิจัยนี้ได้ศึกษาปริมาณฟีนอลิกรวม ฟลาโวนอยด์รวม ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านแบคทีเรียในช่องปากของสารสกัดจากเปลือกมังคุด (<em>Garcinia mangostana</em> <em>L.</em>) พบว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีปริมาณฟีนอลิกรวม 0.181±0.009 mgGAE/gDW และฟลาโวนยด์รวม 1.32±0.60 mgQE/gDW ซึ่งสูงกว่าสารสกัดมังคุดมาตรฐาน การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยใช้วิธี DPPH radical scavenging assay แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีศักยภาพต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่าสารสกัดมาตรฐาน นอกจากนี้การทดสอบฤทธิ์การต้านแบคทีเรียในช่องปากของสารสกัดจากเปลือกมังคุดโดยวิธี disc diffusion assay มีเส้นผ่านศูนย์กลางพื้นที่ยับยั้งเฉลี่ยประมาณ 9.27±0.2 mm ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีศักยภาพในการพัฒนาเพิ่มเติมและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการใช้เป็นสารต้านแบคทีเรียในช่องปาก</p> สมพล คนเพียร, ณัฐอัญญ์ นราสุขปริพัฒน์, พิชชาภา แก้วงามอรุณ, ศิริรัตน์ ยอดสุดา, ณัฐพิมล กมลสิทธิชัย, วรัทยา ว่องวาณิชย์, ณัฑพร มโนใจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/255701 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของน้ำกระตุ้นพลาสมาต่อการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ในผักสลัดใบกรีนโอ๊ค https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256182 <p>การศึกษาผลของน้ำกระตุ้นพลาสมา (Plasma Activated Water: PAW) ต่อการยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ในผักสลัดใบกรีนโอ๊ค (Green Oak) ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีความเสื่อมสภาพทางชีวเคมีได้ง่ายหลังการเก็บเกี่ยวซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากจุลินทรีย์ การทดสอบใช้ตัวอย่างผักสลัดใบกรีนโอ๊คขนาด 3 x 3 cm. รูปแบบปลูก 2 รูปแบบคือ แบบลงดิน (N) และปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ (H) และน้ำ PAW ผลิตจากเครื่องต้นแบบที่มีแรงดันไฟฟ้าขาออกสูงสุด 15 กิโลโวลต์ จ่ายไฟฟ้าแรงดันสูงแบบพัลส์เป็นเวลา 25 นาที จากนั้นนำผักสลัดใบ กรีนโอ๊คจุ่มล้างด้วย PAW เป็นเวลา 10, 15 และ 20 นาที เทียบกับจุ่มล้างด้วยน้ำประปา จากนั้นทำการทดสอบการยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ด้วยการวิเคราะห์ Total Plate Count (TPC) พบว่าการเจริญของจุลินทรีย์นั้นมีแนวโน้มที่ลดลงจาก 1.53 x 106 ลงลดเป็น 5.00 x 105 CFU/ml ของผักสลัดใบกรีนโอ๊คที่มีการปลูกแบบลงดิน และ 1.77 x 106 ลงลดเป็น 5.61 x 105 CFU/ml ปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ ตามลำดับ ในส่วนการเปลี่ยนแปลงของสี Color Difference (∆E) พบว่าแนวโน้มของสีหลังการชะล้างในแต่ละวันนั้นไม่มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของค่า Color difference และค่าความเป็นกรด - ด่างของ PAW มีค่าระหว่าง 6.7 - 7.5 ดังที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าทั้ง 3 ตัวแปร ยังมีผลความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีผลกระทบ เนื่องจากเครื่องต้นแบบปัจจุบันกระตุ้นน้ำพลาสมาเพียงรอบเดียว จึงคาดว่าจะปรับปรุงรูปแบบการผลิตน้ำกระตุ้นพลาสมาแบบละอองหมอกเป็นระบบหมุนวนหรือกระตุ้นพลาสมาที่น้ำโดยตรง เพื่อนำผลการทดลองมาวิเคราะห์และเปรียบประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ในผักสลัดใบกรีนโอ๊คในอนาคตต่อไป</p> กมลทิพย์ ปรีเปรม, ขจรเดช ลาบุตร, กระวี ตรีอำนรรค, เทวรัตน์ ตรีอำนรรค, วิชาญณรงค์ วงศ์บับพา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256182 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของตัวขวางการไหลในหออบแห้งแบบอินฟราเรดที่มีต่ออุณหภูมิของข้าวเปลือก https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256183 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของตัวขวางการไหลเมล็ดข้าวเปลือกในหออบแห้งที่ใช้ ฮีตเตอร์อินฟราเรดเป็นแหล่งให้ความร้อนในการทำให้เมล็ดข้าวเปลือกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเป็น 42 – 43 องศาเซลเซียส จากอุณหภูมิ 30 - 31 องศาเซลเซียส เครื่องอบแห้งข้าวเปลือกต้นแบบนี้ถูกใช้ในการทดลองกับข้าวเปลือกพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ตัวอย่างข้าวมีน้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม ความชื้นเริ่มต้น 22 - 25% มาตรฐานเปียก อุณหภูมิอากาศที่ใช้ทดลองคือ 60 และ 80 องศาเซลเซียส ควบคุมอัตราการไหลข้าว 1.5 กิโลกรัมต่อนาที โดยการทดลองใช้อุปสรรคขวางการไหลสามแบบคือ แบบครีบสลับฟันปลา แบบตะแกรงเหล็กฉีกและหออบแห้งเปล่า จากการทดลองพบว่าปัจจัยดังกล่าวมีอิทธิพลต่อเวลาที่ทำให้ข้าวเปลือกมีอุณภูมิสูงขึ้น โดยหออบแห้งเปล่าที่อุณหภูมิอากาศ 80 องศาเซลเซียส ใช้เวลาต่ำสุดในการทำให้เมล็ดข้าวเปลือกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเป็น 42 - 43 องศาเซลเซียส ซึ่งใช้เวลาเพียง 3.3 นาที หออบแห้งเปล่าที่อุณหภูมิอากาศ 60 องศาเซลเซียสและครีบสลับฟันปลาที่อุณหภูมิอากาศ 60 องศาเซลเซียส ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำที่สุดคือ 0.10 กิโลวัตต์ - ชั่วโมง และจากการทดสอบอบแห้งข้าวเปลือกที่ความชื้นเริ่มต้น 24% มาตรฐานเปียก อบแห้งจนกระทั่งเหลือความชื้นสุดท้าย 14 % มาตรฐานเปียก พบว่าแบบหออบแห้งเปล่าใช้เวลาในการอบแห้งต่ำที่สุดคือ 95 นาที และแบบครีบสลับฟันปลาใช้เวลาคือ 140 นาที ใช้เวลาต่างกันถึง 32.14 %</p> วิชาญณรงค์ วงศ์บับพา, กระวี ตรีอำนรรค, เทวรัตน์ ตรีอำนรรค, กมลทิพย์ ปรีเปรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256183 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 The การสะสมของนิวไคลด์กัมมันตรังสีในดินตัวอย่างจากสวนส้มโอทับทิมสยาม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256412 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาค่ากัมมันตภาพจำเพาะของนิวไคลด์กัมมันตรังสีธรรมชาติในตัวอย่างดินจากสวนส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และเพื่อประเมินดัชนีอันตรายจากกัมมันตภาพรังสี ทำการเก็บตัวอย่างดินตามระดับความลึกช่วงละ 5 cm จากระดับผิวดินจนถึงระดับ 30 cm รวมจำนวน 10 ตำแหน่ง ๆ ละ 6 ตัวอย่าง รวม 60 ตัวอย่าง โดยใช้ระบบการวิเคราะห์แกมมาสเปกโตรเมตรี หัววัดเจอร์เมเนียมบริสุทธิ์สูง (HPGe) พบว่าค่ากัมมันตภาพจำเพาะของนิวไคลด์กัมมันตรังสี Ra-226, Th-232 และ K-40 มีค่าเฉลี่ย 93.50 ± 6.16, 17.51 ± 2.70 และ 610.49 ± 59.05 Bq/kg ตามลำดับ ซึ่งค่านิวไคลด์กัมมันตรังสี Ra-226 และ K-40 มีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศไทยและค่าเฉลี่ยทั่วโลก ส่วนนิวไคลด์กัมมันตรังสี Th-232 มีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศไทยและค่าเฉลี่ยทั่วโลก นอกจากนี้ค่าอัตราปริมาณรังสีแกมมาดูดกลืน (D) สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดโดย UNSCEAR ส่วนปริมาณรังสีที่ได้รับจากภายนอกร่างกายประจำปี (E) ค่ากัมมันตภาพรังสีสมมูลเรเดียม (Ra<sub>eq</sub>) และค่าดัชนีความเสี่ยงจากการได้รับรังสีจากภายนอกร่างกาย (H<sub>ex</sub>) ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดโดย UNSCEAR ผลการศึกษาสรุปได้ว่าดินในสวนส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชมีการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีต่ำ และประชาชนผู้อยู่อาศัยอยู่บริเวณนั้นปลอดภัยจากการได้รับปริมาณสารกัมมันตรังสีธรรมชาติ</p> วุฒิชัย จันทร์แจ่มใส, พวงทิพย์ แก้วทับทิม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256412 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำความร้อนด้วยการเหนี่ยวนำและการทำความร้อน ด้วยขดลวดความร้อนไฟฟ้า https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256423 <p>บทความวิจัยนี้เป็นการศึกษาระบบผลิตลมร้อนด้วยการทำความร้อนแบบเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแก่กระบอกกลวงโลหะผิวเรียบผนังบาง ขนาดกำลัง 1,800 W เพื่อใช้เป็นแหล่งความร้อนในการอบแห้งผลผลิตทางการเกษตรหลังจากการเกี่ยวในอนาคต การทดลองเลือกใช้อัตราการไหลของอากาศที่ป้อนเข้าสู่ระบบทำความร้อนในรูปของเลขเรย์โนลดส์ในช่วง 6,000 7,000 และ 8,000 โดยศึกษาที่อุณหภูมิอากาศร้อนที่ต้องการ 3 ค่า คือ 50 60 และ 70 °C เปรียบเทียบกับการใช้ขดลวดความร้อนไฟฟ้าขนาด 1,000 W ผลพบว่าที่อุณหภูมิอากาศ 50 °C การทำความร้อนด้วยการเหนี่ยวนำใช้เวลาน้อยกว่าการทำความร้อนขดลวดความร้อนไฟฟ้า 79.55-84.96% ใช้กำลังไฟฟ้าน้อยกว่า 66.13-70.96% มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานมากกว่า 67.11-73.43% ที่อุณหภูมิของอากาศออก 60 °C การทำความร้อนด้วยการเหนี่ยวนำใช้เวลาน้อยกว่าการทำความร้อนขดลวดความร้อนไฟฟ้า 71.30-72.24% ใช้กำลังไฟฟ้าน้อยกว่า 64.44-67.58% มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานมากกว่า 50.42-53.77% และที่อุณหภูมิของอากาศออก 70 °C การทำความร้อนด้วยการเหนี่ยวนำใช้เวลาน้อยกว่าการทำความร้อนด้วยขดลวดความร้อนไฟฟ้า 54.46-62.03% ใช้กำลังไฟฟ้าน้อยกว่า 59.43-64.31% มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานมากกว่า 26.02-32.99% การทำความร้อนด้วยการเหนี่ยวนำทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเริ่มต้นของการเหนี่ยวนำซึ่งต่างจากการทำความร้อนด้วยขดลวดความร้อนไฟฟ้าที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ</p> วสวัตติ์ ทิ้งบริรักษ์, กระวี ตรีอำนรรค, เทวรัตน์ ตรีอำนรรค ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256423 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การทดสอบประสิทธิภาพของชุดหัวลากไฟฟ้าสำหรับรถเข็นคนพิการ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256480 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานชุดหัวลากไฟฟ้าสำหรับรถเข็นคนพิการที่พัฒนาขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วยรถเข็นคนพิการ ระบบขับเคลื่อนชุดหัวลากไฟฟ้ามอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 350 วัตต์ ชุดแบตเตอรี่ 48 โวลต์ 30 แอมแปร์-ชั่วโมง ทดสอบประสิทธิการของชุดหัวลากไฟฟ้าสำหรับรถเข็นคนพิการโดยทดสอบความเร็วการเคลื่อนที่ 3 ระดับ ทดสอบระยะเบรก ทดสอบการใช้งานของพลังงานต่อการชาร์จแบตเตอร์รี่ และสำรวจการใช้งานจริงของผู้พิการ ผลการทดสอบพบว่า ชุดหัวลากไฟฟ้าสามารถลากน้ำหนักบรรทุกได้ไม่เกิน 100 กิโลกรัม มีความเร็วที่ 4.96 5.40 และ 6.04 เมตรต่อวินาที ระยะเบรก 2.1 เมตร อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของระยะเบรก สามารถเคลื่อนที่ได้ระยะทางเฉลี่ยที่ 64.11 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเคลื่อนที่เฉลี่ยอยู่ที่ 310 นาที ความเร็วเฉลี่ยของการใช้งานต่อเนื่องอยู่ที่ 3.49 เมตรต่อวินาที ผลสำรวจการใช้งานชุดหัวลากไฟฟ้าสำหรับรถเข็นคนพิการของผู้พิการความเร็วใช้งานอยู่ที่ 1-4 เมตรต่อวินาที ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้พิการจำนวน 3 ท่าน ผลประเมินอยู่ในเกณฑ์ดี ความพอใจโดยรวมเป็นที่น่าพอใจ ผู้พิการสามารถนำชุดหัวลากไฟฟ้าไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เป็นอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการและเพิ่มประสิทธิภาพการเดินได้มากขึ้น ช่วยประหยัดเวลาเพิ่มระยะทางในการเดินทางและลดการใช้แรงหรือคนเข็นรถเข็นได้</p> อำพล พิชัยเชิด, ทักษ์ดนัย สุภารส, พนัสชัย ศรีบำรุง, วิโรจน์ เลิศธีระชาญชัย, สุระศักดิ์ ศรีปาน, เกียรติศักดิ์ ใจโต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/256480 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบวิธีการหาคำตอบสำหรับการแก้ปัญหาการจัดเส้นทางยานพาหนะ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/257118 <p>ต้นทุนหลักของระบบการขนส่งโลจิสติกส์คือต้นทุนในการขนส่ง บริษัทที่มีการบริหารจัดการขนส่งที่ไม่ดีจะส่งผลให้ต้นการขนส่งสูงขึ้น ปัจจัยหลักของต้นทุนการขนส่งที่สูงเกิดจากการเดินทางของพนักงานที่เลือกเส้นทางในการเดินทางที่ไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดระยะทางรวมมาก ซึ่งในบางครั้งอาจทำให้การส่งสินค้าเกิดความล่าช้า ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงศึกษาการจัดการเส้นทางการขนส่งยานพาหนะในกรณีที่ทราบความต้องการของลูกค้าแน่นอน สำหรับบริษัทจำหน่ายและจัดส่งสินค้าเกษตรชนิดหนึ่งซึ่งมียานพาหนะ 1 คัน กำหนดความสามารถในการบรรทุกสูงสุดไม่เกิน 5,000 กิโลกรัม วัตถุประสงค์ของงานวิจัยเพื่อเปรียบเทียบวิธีการในการหาคำตอบที่เหมาะสม 3 วิธีคือ วิธีเชิงพันธุกรรม (Genetic Algorithm: GA) วิธีการอบอ่อนจำลอง (Simulated Annealing: SA) และวิธีอัลกอริทึมปีนเขา (Hill-climbing Algorithm) ผลที่ได้พบว่า เมื่อลูกค้ามีจำนวน 400 รายวิธี SA สามารถแก้ปัญหาได้ ในขณะที่วิธี HCA และวิธี GA สามารถแก้ปัญหาเมื่อมีจำนวนลูกค้าสูงสุดเพียง 350 และ 200 รายตามลำดับ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า วิธี SA สามารถแก้ปัญหาในกรณีที่ปัญหามีขนาดใหญ่ที่สุดได้ ในขณะที่วิธี HCA และ วิธี GA เป็นวิธีที่รองลงมาตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบคำตอบในการจัดเส้นทางพบว่า วิธี GA เป็นวิธีที่ให้ระยะทางและเวลาในการเดินทางที่น้อยที่สุดจากทั้ง 3 วิธีเมื่อมีจำนวนลูกค้าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 200 ราย</p> จักรินทร์ กลั่นเงิน, เทียนจู้ เด่นเวสสะเพชร, นิภาพรรณ กลั่นเงิน, ประภาพรรณ เกษราพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/257118 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการขึ้นรูปแผ่นรองแก้วจากวัสดุเชิงประกอบเนื้อพื้นพอลิเมอร์เสริมแรงด้วยเส้นใยเปลือกทุเรียน https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/257223 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพารามิเตอร์ที่เหมาะสมกับการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์แผ่นรองแก้ววัสดุเชิงประกอบเนื้อพื้นพอลิเมอร์เสริมแรงด้วยเส้นใยของเปลือกทุเรียน ด้วยการประยุกต์ใช้แนวคิดการออกแบบการทดลองเชิงแฟคทอเรียล (Factorial Experiment) โดยสมมติฐานงานวิจัยนี้ คือ ปริมาณน้ำยางพารา ปริมาณเส้นใยจากเปลือกทุเรียน และปริมาณสาร DPG (Diphenyl Guanidine) มีผลกระทบต่อร้อยละการดูดซึมน้ำของแผ่นรองแก้ว จากการออกแบบการทดลองเชิงแฟคทอเรียล พบว่า ผลกระทบร่วมปริมาณน้ำยางพาราและปริมาณเส้นใยจากเปลือกทุเรียนมีอันตรกิริยาร่วมกัน โดยไม่ทำการพิจารณาผลกระทบหลัก จึงกำหนดค่าของปัจจัย ดังนี้ ปริมาณน้ำยางพารา คือ 167 กรัม ปริมาณเส้นใยจากเปลือกทุเรียน คือ 2 กรัม สำหรับปริมาณสาร DPG ไม่มีผลกระทบต่อร้อยละการดูดซึมน้ำจึงไม่กำหนดค่าของปัจจัย ผลการกำหนดค่าของปัจจัยสามารถประมาณร้อยละการดูดซึมน้ำ คือ ร้อยละ 6.95 และประมาณช่วงความเชื่อมั่นร้อยละการดูดซึมน้ำที่ระดับความเชื่อมั่น 0.95 คือ 0.98 ถึง 12.93 จากนั้น จึงทำการยืนยันผลการทดลองโดยการขึ้นรูปแผ่นรองแก้วตามค่าของปัจจัยที่ได้จากการออกแบบการทดลอง พบว่า ร้อยละการดูดซึมน้ำยืนยันผลมีค่าน้อยกว่าร้อยละการดูดซึมน้ำที่ได้ผลจากการทดลอง ด้วยระดับความเชื่อมั่น 0.95 ผลจากการศึกษานี้มีประโยชน์ต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยวัสดุชีวภาพและช่วยลดปริมาณขยะชีวภาพได้อีก ทางหนึ่ง</p> <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพารามิเตอร์ที่เหมาะสมกับการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์แผ่นรองแก้ววัสดุเชิงประกอบเนื้อพื้นพอลิเมอร์เสริมแรงด้วยเส้นใยของเปลือกทุเรียน ด้วยการประยุกต์ใช้แนวคิดการออกแบบการทดลองเชิงแฟคทอเรียล (Factorial Experiment) โดยสมมติฐานงานวิจัยนี้ คือ ปริมาณน้ำยางพารา ปริมาณเส้นใยจากเปลือกทุเรียน และปริมาณสาร DPG (Diphenyl Guanidine) มีผลกระทบต่อร้อยละการดูดซึมน้ำของแผ่นรองแก้ว จากการออกแบบการทดลองเชิงแฟคทอเรียล พบว่า ผลกระทบร่วมปริมาณน้ำยางพาราและปริมาณเส้นใยจากเปลือกทุเรียนมีอันตรกิริยาร่วมกัน โดยไม่ทำการพิจารณาผลกระทบหลัก จึงกำหนดค่าของปัจจัย ดังนี้ ปริมาณน้ำยางพารา คือ 167 กรัม ปริมาณเส้นใยจากเปลือกทุเรียน คือ 2 กรัม สำหรับปริมาณสาร DPG ไม่มีผลกระทบต่อร้อยละการดูดซึมน้ำจึงไม่กำหนดค่าของปัจจัย ผลการกำหนดค่าของปัจจัยสามารถประมาณร้อยละการดูดซึมน้ำ คือ ร้อยละ 6.95 และประมาณช่วงความเชื่อมั่นร้อยละการดูดซึมน้ำที่ระดับความเชื่อมั่น 0.95 คือ 0.98 ถึง 12.93 จากนั้น จึงทำการยืนยันผลการทดลองโดยการขึ้นรูปแผ่นรองแก้วตามค่าของปัจจัยที่ได้จากการออกแบบการทดลอง พบว่า ร้อยละการดูดซึมน้ำยืนยันผลมีค่าน้อยกว่าร้อยละการดูดซึมน้ำที่ได้ผลจากการทดลอง ด้วยระดับความเชื่อมั่น 0.95 ผลจากการศึกษานี้มีประโยชน์ต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยวัสดุชีวภาพและช่วยลดปริมาณขยะชีวภาพได้อีก ทางหนึ่ง</p> จักรินทร์ กลั่นเงิน, ประภาพรรณ เกษราพงศ์, ณิชากานต์ แวงวรรณ, ปณิฐา เปรื่องชนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/257223 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบสมรรถนะของเตาจรวดรูปทรง L และรูปทรง V และการเพิ่มสมรรถนะโดย การปรับปรุงห้องเผาไหม้และช่องป้อนเชื้อเพลิง https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/258032 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะเตาจรวดรูปทรง L และรูปทรง V จากนั้นนำไปพัฒนาเสริมห้องเผาไหม้และขยายช่องป้อนเชื้อเพลิงให้มีสมรรถนะที่สูงขึ้น และสามารถใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น สำหรับวิธีการวิจัยนั้นดำเนินการสร้างเตาจรวดรูปทรง L และรูปทรง V จากนั้นทดสอบสมรรถนะด้วยวิธีการต้มน้ำเดือด เมื่อได้เตาจรวดรูปทรงที่มีสมรรถนะที่ดีกว่าแล้วนำเตาจรวดรูปทรงดังกล่าวไปพัฒนาให้มีสมรรถนะและใช้งานได้ดียิ่งขึ้นและทำการทดสอบเตาด้วยวิธีการต้มน้ำเดือดเพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะระหว่างเตาจรวดดั้งเดิมและแบบที่พัฒนาแล้ว ผลการวิจัยพบว่าเตาจรวดรูปทรง L มีสมรรถนะที่ดีกว่าเตาจรวดรูปทรง V จากนั้นนำเตาจรวดรูปทรง L ไปพัฒนาโดยการเปิดและขยายช่องป้อนเชื้อเพลิง และสวมห้องเผาไหม้สำหรับเสริมการเผาไหม้ครั้งที่ 2 ที่บริเวณปากเตา จากผลการทดสอบพบว่าการเปิดช่องป้อนเชื้อเพลิงทำให้ใช้งานเตาจรวดได้สะดวกขึ้น และการพัฒนาเตาจรวดทรง L (L-shaped (version 2) rocket stove) โดยการเปิดและขยายช่องป้อนเชื้อเพลิงรวมถึงเสริมช่องอุ่นอากาศเพื่อการเผาไหม้ครั้งที่ 2 และลดขนาดห้องเผาไหม้ทำให้มีค่าสมรรถนะที่ดีกว่าเตาจรวดทรง L แบบดั้งเดิม และเตาจรวดทรง V โดยเตาจรวดทรง L ที่พัฒนานี้มีค่าประสิทธิภาพเชิงความร้อนสูงกว่าเตาจรวดทรง V 40.36% และสูงกว่าเตาจรวดทรง L แบบดั้งเดิม 5.73% ในส่วนของเวลาต้มน้ำเดือดนั้นโดยเตาจรวดทรง L ที่พัฒนาใช้เวลาน้อยกว่าเตาจรวดทรง V 33.61% และใช้เวลาน้อยกว่าเตาจรวด L แบบดั้งเดิม 24.44% เนื่องจากการสวมห้องเผาไหม้สำหรับเสริมการเผาไหม้ครั้งที่ 2 ที่บริเวณปากเตาและการขยายช่องป้อนเชื้อเพลิงเพื่อเพิ่มให้อากาศเข้าไปช่วยในการเผาไหม้ที่มากขึ้น เตาจรวดทรง L ที่ทำการพัฒนาขึ้นมาเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความร้อนสูงและรวดเร็ว</p> พลชัย ขาวนวล, สุนารี บดีพงศ์, สมบูรณ์ ประสงค์จันทร์1, โกสินทร์ ทีปรักษพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/258032 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การหาสภาวะที่เหมาะสมของเครื่องคัดแยกเมล็ดกาแฟโดยใช้การออกแบบการทดลองแบบแฟคทอเรียล https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/258092 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาสภาวะที่เหมาะสมในการคัดแยกเมล็ดกาแฟดิบด้วยเครื่องคัดแยกชนิดตะแกรงโยก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่เครื่องคัดแยกเมล็ดกาแฟดิบที่สร้างขึ้น เป็นชนิดตะแกรง 3 ชั้น ขนาดรูตะแกรง 8, 6 และ 3 มิลลิเมตร เมล็ดกาแฟที่ใช้เป็นพันธุ์โรบัสต้า การออกแบบการทดลองเป็นแบบ 3<sup>2</sup>แฟคทอเรียล ปัจจัยที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ความเร็วรอบของการโยก 50, 60 และ 70 รอบต่อนาที และระยะของการโยก 20, 30 และ 40 มิลลิเมตร ทำการทดลอง 3 ซ้ำ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม Design Expert 365 ผลของการศึกษาพบว่า ความเร็วรอบสูงลดเวลาในการคัดแยก แต่เพิ่มการปนเปื้อนของเมล็ดกาแฟ โดยความเร็วรอบที่เหมาะสมเท่ากับ 70 รอบต่อนาที ระยะโยกเท่ากับ 20 มิลลิเมตร ประสิทธิภาพของเครื่องเท่ากับ 94.48 เปอร์เซ็นต์</p> วรพงศ์ พงศ์ภัทรวุฒิ, ณภัทร อินทนนท์, พงศธร เผดิมผล, สิริศักดิ์ หอมใส, อนุพงศ์ ปลั่งกลาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/258092 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 กรณีศึกษาการควบคุมวงจรแปลงผันไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส โดยใช้เทคนิค PWM ผ่านโปรแกรม MATLAB/Simulink https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/254392 <p>บทความนี้นำเสนอการออกแบบและทดสอบวงจรแปลงไฟฟ้ากระแสสลับเป็นกระแสสลับแบบ 1 เฟส (Single-phase AC to AC Converter) โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ (TMS320F2808) เป็นชุดคอนโทรลสัญญาณขับนำสวิตซ์ ร่วมกับการประยุกต์ใช้งานโปรแกรม MATLAB ในการสร้างสัญญาณมอดูเลตความกว้างพัลส์ (Pulse Width Modulation: PWM) เพื่อควบคุมการทำงานของสวิตช์มอสเฟต (MOSFET) ให้สามารถปรับระดับแรงดันไฟฟ้าขาออกได้ตามต้องการ วงจรที่ออกแบบสามารถแปลงแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับขาเข้าให้ได้แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับขาออกในช่วง 0-220 โวลต์ ที่ความถี่ 50 เฮิรตซ์ โดยแรงดันเอาต์พุตมีลักษณะเป็นคลื่นไซน์ (Sinusoidal Waveform) และมีค่ารากกำลังสองเฉลี่ย (RMS) สูงสุดที่ 220 โวลต์ การควบคุมระดับแรงดันเอาต์พุตสามารถทำได้โดยการปรับค่าดิวตี้ไซเคิล (Duty Cycle) ตั้งแต่ 10% ถึง 95% ส่งผลให้วงจรสามารถ ควบคุมกำลังไฟฟ้าด้านเอาต์พุตได้ตลอดย่าน การทดลองและทดสอบในบทความนี้ การประยุกต์ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ร่วมกับซอฟต์แวร์ MATLAB เพื่อพัฒนาระบบควบคุมวงจรแปลงไฟฟ้า</p> พนม ท้าวดี, พนัสชัย ศรีบำรุง, อภิราช รัตนอุดมพิสุทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/254392 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดควบคุมการขับเคลื่อนสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/258572 <p>ในปัจจุบันมอเตอร์กระแสตรงไร้แปรงถ่าน (BLDC) เป็นที่นิยมอย่างมากในการนำไปประยุกต์ใช้งานในด้านต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ระบบปั้ม ระบบขับเคลื่อนในงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบขับเคลื่อนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า งานวิจัยนี้มีความประสงค์ในการพัฒนาชุดควบคุมการขับเคลื่อนสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้ มอเตอร์ไฟฟ้าชนิด BLDC ขนาด 350W แรงดันไฟฟ้า 36-48 VDC ชุดขับเคลื่อนประกอบด้วย วงจรควบคุมโดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ตระกูล dsPIC และวงจรอิเล็กทรอนิกส์กำลัง โดยใช้การควบคุมการสวิตช์แบบ ซิก สเต็ป คอมมิวเตชั่น (Six Step Commutation) ร่วมกับการควบคุมแบบ PI ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมการหมุนของมอเตอร์ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานจริง ชุดควบคุมติดตั้งในรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า การทดสอบการขับเคลื่อนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าทดสอบที่ความเร็ว 100 rpm-520 rpm ทำความเร็วได้ถึง 45 กม/ชม. ในทางเรียบ ระยะทางการทดสอบ 15 กม. ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันและแสดงถึงประสิทธิภาพของระบบควบคุมที่พัฒนาขึ้น</p> พนัสชัย ศรีบำรุง, กรีฑา จิรัตฐิวรุตม์กุล, วิโรจน์ เลิศธีระชาญชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/258572 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบและประเมินประสิทธิภาพเครื่องผสมปุ๋ยหมักแนวนอน https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/259072 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและประเมินประสิทธิภาพเครื่องผสมปุ๋ยหมักแนวนอน โดยออกแบบ ให้มีขนาดความกว้าง 700 มิลลิเมตร ความยาว 1,360 มิลลิเมตร และความสูง 1,220 มิลลิเมตร ถังผสมมีขนาดบรรจุ 50 ลิตร ขับเคลื่อนด้วยต้นกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 3 แรงม้า ระบบส่งกำลังประกอบด้วย เกียร์ทดรอบ ขนาด 1:20 เฟืองขับขนาด 12 ฟัน เฟืองตามขนาด 29 ฟัน และเพลาผสม โดยใบกวนผสมส่วนที่ยึดติดกับ แขนของเพลาผสมเป็นแบบริบบอน มีการเคลื่อนไหวในแนวนอน ใบกวนผสมชั้นนอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง570 มิลลิเมตร มีระยะพิตช์ 344 มิลลิเมตร และใบกวนผสมชั้นในมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 370 มิลลิเมตร มีระยะพิตช์ 344 มิลลิเมตร ทำการทดสอบความสามารถในการผสมปุ๋ยหมัก 40 กิโลกรัม กับลูกปัดขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มิลลิเมตร จำนวน 1,000 ลูก ความเร็วรอบของใบกวน 30 รอบต่อนาที ปุ๋ยหมักมีความชื้นเฉลี่ย 56.98% ทำการเก็บตัวอย่างที่ 1, 2, 3, 4 และ 5 นาที บันทึกจำนวนลูกปัดในส่วนผสมแต่ละนาที จากนั้นคำนวณค่าสัมประสิทธิ์การกระจายเพื่อประเมินประสิทธิภาพการผสมปุ๋ยหมักด้านการกระจายตัวขณะผสม ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า เครื่องผสมปุ๋ยหมักแนวนอน มีประสิทธิภาพด้านการกระจายตัวขณะผสมที่ดี กล่าวคือ มีค่าการแปรผันน้อยกว่า 5% โดยค่าสัมประสิทธิ์การกระจายของการผสมปุ๋ยหมักที่เวลา 3 นาที เท่ากับ 1.74% และที่เวลา 4 นาที เท่ากับ 3.5% </p> ศุภกัญญา ขันชัยภูมิ, ภควดี ศิริวัชรสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/259072 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 Effect of Solution Concentration During Electrospinning Process on Morphological Features of Scalable Self-standing Polyvinyl Alcohol Nanofibrous Membranes https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/259640 <p>Nanofibers and nanofibrous membranes composed of polymers, ceramics, carbons, and their hybrid materials, fabricated through electrospinning process, have garnered significant research interest due to their potential applications in diverse fields, including medical devices, environmental protection and remediation, and energy systems. Polyvinyl alcohol (PVA) has been extensively used as a functional component in nanofiber composites, a polymer binder for the fabrication of architectured carbon and ceramic nanofibers, and a scaffolding material for the preparation of freestanding ceramic nanofibrous membranes, via electrospinning. Consequently, investigating the effects of working parameters during electrospinning on the properties of the resulting products is essential. In this study, the influence of solution concentration on the morphological features and physical dimensions of self-standing electrospun PVA nanofibrous products collected on a rotational cylindrical drum, was examined using scanning electron microscopy (SEM), and the results were analyzed and discussed. The findings showed that increasing PVA solution concentration (6–14% w/v) led to larger fiber diameters, reduced membrane width, and increased membrane thickness. Based on the power law of polymer solutions, the diameter of the electrospun fibers increased as the PVA solution concentration was raised, following the relationship . This research enhances the predictive capability regarding the morphology of the resulting PVA nanofiber products—particularly the fiber diameters—by identifying solution concentration as a key parameter governing the electrospinning process. This deeper understanding of how solution concentration affects the morphology of PVA-based nanofibers is expected to facilitate the efficient fabrication of nanofibrous mats utilizing PVA as a binder and/or structural component</p> Apiwat Dankeaw, Apichat Sanrutsadakorn, Kanchana Sotho ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัย มทร. กรุงเทพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/rmutk/article/view/259640 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700