https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scibru/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ออนไลน์) 2025-05-25T15:48:59+07:00 Thippawan Saenkham thippawan.sk@bru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความที่มีคุณภาพในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ คณิตศาสตร์ สถิติ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์การอาหาร วิทยาการคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงวิทยาศาสตร์ประยุกต์อื่น ๆ หรือที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน โดยตีพิมพ์ 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน, ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p>ISSN 2774-0838 (Print)</p> <p>ISSN : 2774-0757 (Online)</p> https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scibru/article/view/258262 การพัฒนาแอปพลิเคชันสื่อการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบเมตาเวิร์ส เพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ 2025-04-08T09:10:20+07:00 วรรณภัสร์ ปราบพาลา wannaphat.p@pcru.ac.th เดือนฉาย ไชยบุตร scibru08010101@gmail.com ประยูร ไชยบุตร scibru08010102@gmail.com <p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพด้วยสื่อการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบเมตาเวิร์ส เพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้ก่อน และหลังเรียนด้วยสื่อการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบเมตาเวิร์ส และ 3) ประเมินความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบเมตาเวิร์ส เพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ โดยมีกลุ่มตัวอย่างใช้คัดเลือกแบบเจาะจงในกลุ่มนักศึกษา ช่วงเวลาใน ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แอปพลิเคชันสื่อการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบเมตาเวิร์ส 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้สื่อการเรียนรู้ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ สถิติพื้นฐานได้แก่ </span><span style="font-weight: 400;">ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) </span><span style="font-weight: 400;">การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้ด้วยเกณฑ์ E1/E2 และการทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบค่าที (t-tests)</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า 1) สื่อการเรียนรู้เชิงปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบเมตาเวิร์สที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.00/82.50 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ3) ความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการใช้สื่อการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบเมตาเวิร์สมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 อยู่ในระดับมาก </span></p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ออนไลน์) https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scibru/article/view/256167 การจำแนกความคิดเห็นโซเชียลมีเดียไทยเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิดโดยใช้เหมืองข้อความ 2025-03-14T14:32:40+07:00 พีคอน หมายสุข peakon.ms@bru.ac.th จารี ทองคำ jaree.thongkam@gmail.com <p class="15"><span style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแบบจำลองจำนวน 5 เทคนิค ได้แก่ เทคนิคนาอีฟเบย์ เทคนิคซัพพอร์ตเวกเตอร์แมชชีน เทคนิคริปเปอร์ เทคนิคฟิวเรีย และ เทคนิคป่าสุ่ม มาสร้างแบบจำลอง เพื่อจำแนกความคิดเห็นของคนไทยในสังคม ว่ามีความคิดเห็นต่อ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับเด็ก โดยข้อมูลนั้นถูกรวบรวมมาจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ จำนวนทั้งหมด 2,466 ความคิดเห็น คำคุณลักษณะคำกริยา คำกริยาวิเศษณ์ คำคุณศัพท์ ได้ถูกเลือกมาใช้ในการสร้างแบบจำลอง โดยคำคุณลักษณะประเภทนี้สามารถระบุความรู้สึกในเชิงบวก และเชิงลบได้อย่างชัดเจน ในงานวิจัยนี้ 10 โฟลด์ครอสวาลิเดชั่นได้ถูกนำมาใช้ในการแบ่งกลุ่มข้อมูล เป็นชุดเรียนรู้ และชุดทดสอบ นอกจากนี้ค่าความแม่นยำ ค่าความระลึก และค่าความถูกต้องได้ถูกนำมาคำนวณ เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแบบจำลอง ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า นาอีฟเบย์เป็นเทคนิคสร้างแบบจำลองที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ค่าความแม่นยำร้อยละ 95.40 ค่าความระลึกที่ร้อยละ 95.40 และค่าความถูกต้องที่ร้อยละ 95.40</span></p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ออนไลน์) https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scibru/article/view/257091 ผลกระทบของปริมาณน้ำฝนต่อจำนวนผู้ป่วยโรคติดเชื้อในจังหวัดกาฬสินธุ์ 2025-04-23T09:17:36+07:00 ฉัตรสิริ ฉัตรภูติ chatsiri.c@siu.ac.th วัฒนา ชยธวัช vadhana.j@ptu.ac.th สุชาวดี โต๊ะนาค Jele.suchawadee@gmail.com <p class="15"><span style="font-weight: 400;">การวิจัยเชิงความสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบระหว่างปริมาณฝนรายวันเฉลี่ยรายเดือนกับจำนวนผู้ป่วยโรคที่มีความเชื่อมโยงกับฝนในจังหวัดกาฬสินธุ์ ข้อมูลปริมาณฝนรวบรวมจากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และข้อมูลผู้ป่วยรายเดือนรวบรวมจากระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค 506 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เป็นข้อมูลรายเดือนระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2561 ถึง เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สหสัมพันธ์เพียร์สัน และตัวแบบเชิงเส้นนัยทั่วไป ผลการวิเคราะห์พบว่า ปริมาณฝนรายวันเฉลี่ยรายเดือนกับจำนวนผู้ป่วยรายเดือนโรคพิษจากเห็ด, กับจำนวนผู้ป่วยรายเดือนโรคมือเท้าปาก, และกับจำนวนผู้ป่วยรายเดือนโรคเลปโตสไปโรสิส เท่ากับ 0.485, 0.346, และ 0.233 ตามลำดับ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ปานกลาง, อย่างอ่อน, และอย่างอ่อน ตามลำดับ ตัวแบบเชิงเส้นนัยทั่วไปที่มีปริมาณฝนรายวันเฉลี่ยรายเดือนเป็นตัวแปรต้นกับจำนวนผู้ป่วยรายเดือนโรคพิษจากเห็ดและจำนวนผู้ป่วยรายเดือนโรคมือเท้าปากที่เหมาะสมกับข้อมูล คือ ตัวแบบทวินามลบ และตัวแบบควอไซปัวซง ตามลำดับ มีสัมประสิทธิ์การกำหนด (R2) 0.338 และ 0.193 ตามลำดับ ซึ่งส่งผลต่อจำนวนผู้ป่วยโรคพิษจากเห็ดจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อปริมาณฝนเฉลี่ยรายเดือนเพิ่มขึ้น 1 มิลลิเมตร</span></p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ออนไลน์) https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scibru/article/view/257715 ผลของการพอกเมล็ดร่วมกับฮอร์โมนพืช GA₃ ต่อคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ผักกาดหอมคอสใบแดง 2025-03-27T10:15:34+07:00 ปุระชัย สังขาว scibru080401@gmail.com ณรงค์ ทองสนิท scibru080402@gmail.com สุวรรณี สุมหิรัญ scibru080403@gmail.com รจนา ร่วมใจ scibru08010404@gmail.com ชนกเนตร ชัยวิชา chanoknet.c@srru.ac.th <p><span style="font-weight: 400;">การศึกษาผลของการพอกเมล็ดพันธุ์ผักกาดหอมคอสใบแดงร่วมกับ ฮอร์โมนพืช Gibberellic acid (GA</span><sub><span style="font-weight: 400;">3</span></sub><span style="font-weight: 400;">) ต่อความงอกและการเจริญเติบโต โดยจัดทำสิ่งทดลอง แบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design : CRD) จำนวน 6 สิ่งทดลอง สิ่งทดลองละ 4 ซ้ำ ณ ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์และเรือนทดลอง คณะเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร โดยใช้ Talcum และ Carbonate เป็นวัสดุพอกและใช้ Polyvinylpyrrolidone K90 เป็นวัสดุประสาน ร่วมกับ GA</span><sub><span style="font-weight: 400;">3</span></sub><span style="font-weight: 400;"> ในระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกัน จากการศึกษา พบว่า การพอกเมล็ดพันธุ์ร่วมกับ GA</span><span style="font-weight: 400;"><sub>3</sub> </span><span style="font-weight: 400;"> ในระดับความเข้มข้น 0.02 ทำให้มีเปอร์เซ็นต์ความงอกและความเร็วในการงอกสูงที่สุดในสภาพเรือนทดลอง นอกจากนี้การพอกเมล็ดพันธุ์ในระดับความเข้มข้น 0.04 และ 0.02 ทำให้มีค่าเฉลี่ยความยาวต้นและความยาวรากสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการพอก ซึ่งมีความแต่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ (P&lt;0.01) ยกเว้น เปอร์เซ็นต์ความงอกและความเร็วในการงอกในสภาพห้องปฏิบัติการ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P&gt;0.05) </span></p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ออนไลน์) https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scibru/article/view/257816 ฤทธิ์ทางชีวภาพและองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันใบระกำ 2025-03-24T09:38:13+07:00 สัลวา ตอปี scibru08010501@gmail.com วิภาวรรณ วงศ์สุดาลักษณ์ scibru08010502@gmail.com เสาวคนธ์ อินทร์ด้วง scibru08010503@gmail.com ผจงสุข สุธารัตน์ scibru08010504@gmail.com สิริมาภรณ์ วัชรกุล sirimaporn.wa@skru.ac.th <p class="15"><span lang="TH">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพและองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันใบระกำ โดยการสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ เมื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโตรกราฟีร่วมกับแมสสโตรเมตรี (</span><span lang="EN-US">Gas Chromatography – Mass Spectrometry: GC-MS) </span><span lang="TH">พบว่าน้ำมันใบระกำมีกรดปาล์มิติก (</span><span lang="EN-US">Palmitic acid) </span><span lang="TH">เป็นสารสำคัญที่เป็นองค์ประกอบหลักโดยพบที่ร้อยละ </span><span lang="EN-US">12.76 </span><span lang="TH">ของปริมาณทั้งหมดและพบองค์ประกอบย่อยทางเคมีอื่น ๆ ในกลุ่มของกรดไขมันและสเตอรอลพืช เมื่อทดสอบฤทธิ์การต้านเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคทั่วไปและสายพันธุ์ดื้อยากลุ่มที่สร้างเอนไซม์ </span><span lang="EN-US">Extended spectrum beta-lactamase (ESBL) </span><span lang="TH">ด้วยวิธี </span><span lang="EN-US">Disc diffusion assay </span><span lang="TH">พบว่าน้ำมันใบระกำสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียก่อโรคได้ในทุกสายพันธุ์ทดสอบ รวมทั้งแบคทีเรียก่อโรคดื้อยาสายพันธุ์ที่ผลิตเอนไซม์ </span><span lang="EN-US">ESBL </span><span lang="TH">โดยให้วงใสการยับยั้งต่อเชื้อ </span><em><span lang="EN-US">Escherichia coli</span></em><span lang="EN-US"> A1 (ESBL) </span><span lang="TH">ได้ดีที่สุดที่วงใสการยับยั้ง </span><span lang="EN-US">10.83±0.56 </span><span lang="TH">มิลลิเมตร ในการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันใบระกำเป็นสารจากพืชท้องถิ่นที่อุดมไปด้วยสารอาหารและฤทธิ์ทางชีวภาพที่สามารถประยุกต์ใช้ในงานทางด้านอาหารและยา </span></p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ออนไลน์) https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scibru/article/view/257907 การพยากรณ์ความเสียหายสเต็ปเปอร์มอเตอร์โดยใช้อัลกอริทึมการเรียนรู้ของเครื่อง 2025-04-03T21:47:27+07:00 นพฤทธิ์ ศรีวิชัย noppharit_s@outlook.com อนุพงศ์ สว่างนาค scibru08010601@gmail.com รุจิพันธุ์ โกษารัตน์ scibru08010602@gmail.com ปิยพล ยืนยงสถาวร scibru08010603@gmail.com <p>งานวิจัยนี้นำเสนอวิธีการพยากรณ์ความเสียหายของสเต็ปเปอร์มอเตอร์ในระบบอัตโนมัติสมัยใหม่ โดยเก็บข้อมูลจากเซนเซอร์ 5 ประเภท ได้แก่ กระแสไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า แรงบิด อุณหภูมิ และการสั่นสะเทือน พร้อมบันทึกข้อมูลวันที่ เวลา และค่าความผิดพลาดในการเคลื่อนที่ เป็นระยะเวลา 3 เดือน การวิจัยนี้เปรียบเทียบประสิทธิภาพของอัลกอริทึมการเรียนรู้ของเครื่อง 3 แบบ ได้แก่ เกรเดียนท์บูสต์ทรี (Gradient Boosted Trees) ดีปเลิร์นนิง (Deep Learning) และเอ็กซ์ตรีมเกรเดียนท์บู๊สติ้ง (Extreme Gradient Boosting) ผลการวิจัยพบว่า เกรเดียนท์บูสต์ทรีมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยความแม่นยำร้อยละ 91.17 และสามารถพยากรณ์โอกาสเกิดความเสียหายร้อยละ 90 ภายในระยะเวลา 5-6 เดือน การวิเคราะห์ความสำคัญของตัวแปรพบว่า ปัจจัยด้านเวลาและการสั่นสะเทือนมีผลต่อการเสื่อมสภาพของมอเตอร์มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 55.32 และ 28.35 ตามลำดับ ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ เพื่อลดการหยุดชะงักของสายการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>คําสําคัญ:</strong> สเต็ปเปอร์มอเตอร์&nbsp;&nbsp; การพยากรณ์ความเสียหาย&nbsp;&nbsp; การเรียนรู้ของเครื่อง&nbsp;&nbsp; เกรเดียนท์บูสต์ทรี&nbsp;&nbsp; การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์</p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ออนไลน์) https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scibru/article/view/258015 การคัดเลือกผู้ส่งมอบวัตถุดิบด้วยตัวแบบการตัดสินใจเชิงภาษาทูทับเพิล: กรณีศึกษาบริษัทผลิตอาหารเสริมประเภทวิตามิน 2025-04-08T13:16:21+07:00 ประวีร์ ศรีพรม 6614940011@rumail.ru.ac.th นิธิเดช คูหาทองสัมฤทธิ์ Nitidetch.k@rumail.ru.ac.th <p>การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกผู้ส่งมอบวัตถุดิบในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารเสริมประเภทวิตามินด้วยตัวแบบการตัดสินใจเชิงภาษาแบบทูทับเพิล พิจารณาเกณฑ์การตัดสินใจด้านราคา เกณฑ์การตัดสินใจด้านคุณภาพ เกณฑ์การตัดสินใจด้านการขนส่ง เกณฑ์การตัดสินใจด้านบริการ เกณฑ์การตัดสินใจด้านการรับประกัน และเกณฑ์การตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม โดยผู้ตัดสินใจใช้ตัวแปรภาษาทูทับเพิลประเมินความสำคัญเกณฑ์การตัดสินใจเพื่อกำหนดน้ำหนักความสำคัญเกณฑ์การตัดสินใจ จากนั้นจึงเปรียบเทียบผู้ส่งมอบวัตถุดิบทางเลือกภายใต้เกณฑ์การตัดสินใจต่าง ๆ เพื่อคำนวณคะแนนเชิงภาษาทูทับเพิล ผลวิจัยพบว่าผู้ส่งมอบวัตถุดิบ A<sub>2 </sub>มีคะแนนเชิงภาษาทูทับเพิล (<em>S</em><sub>4</sub>, 0.23) เป็นทางเลือกที่มีความเหมาะสมมากที่สุด ผู้ส่งมอบวัตถุดิบ A<sub>3</sub> มีคะแนนเชิงภาษาทูทับเพิล (<em>S</em><sub>3</sub>, 0.17) เป็นทางเลือกลำดับที่ 2 ผู้ส่งมอบวัตถุดิบ A<sub>1</sub> มีคะแนนเชิงภาษาทูทับเพิล (<em>S</em><sub>3</sub>, -0.32) เป็นทางเลือกลำดับที่ 3 และ ผู้ส่งมอบวัตถุดิบ A<sub>4</sub> มีคะแนนเชิงภาษาทูทับเพิล (<em>S</em><sub>2</sub>, 0.37) เป็นทางเลือกที่มีความเหมาะสมน้อยที่สุด โดยผลลัพธ์จากการคัดเลือกผู้ส่งมอบวัตถุดิบที่เหมาะสมสามารถลดวัตถุดิบที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดลงได้ทั้งหมด 3,600 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 3,477,600 บาท</p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ออนไลน์) https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scibru/article/view/255873 การพัฒนาระบบ ABICS สำหรับการนับโคโลนีของ Escherichia coli และ Enterobacter aerogenes อัตโนมัติจากภาพถ่ายสมาร์ทโฟน 2025-04-03T21:44:53+07:00 พงศธร ต่ายทอง phongsatorn.t@g.sut.ac.th นิธิรุจน์ พงศ์สิริเมธี nitirut@g.sut.ac.th <p class="15"><span style="font-weight: 400;">การนับจำนวนโคโลนีของเชื้อ </span><em><span style="font-weight: 400;">Escherichia coli </span></em><span style="font-weight: 400;">ATCC25922 (ECA) และ </span><em><span style="font-weight: 400;">Enterobacter aerogenes </span></em><span style="font-weight: 400;">DMST2720 (EAD) เป็นขั้นตอนสำคัญในการประเมินคุณภาพอาหารหรือน้ำนมดิบ ซึ่งการนับด้วยมือใช้เวลาประมาณ 2 - 5 นาทีต่อจานเพาะเชื้อ การศึกษานี้นำเสนอ "ระบบนับโคโลนีแบคทีเรียด้วยภาพผ่านแอนดรอย" (Android Bacteria Image Counting System: ABICS) ที่ใช้เทคนิคการประมวลผลภาพ Projection Profile, Circle Hough Transform และ Power Law Transformation เพื่อเพิ่มความคมชัดของภาพ และนับจำนวนโคโลนีอย่างแม่นยำ จากการทดลองกับภาพถ่ายจานเพาะเชื้อจำนวน 84 ภาพ พบว่า ระบบ ABICS มีค่าเฉลี่ยความแม่นยำในการนับร้อยละ 90.77 เมื่อเทียบกับการนับด้วยมือ ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนโดยทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 5 - 10 ที่สำคัญคือ ABICS ใช้เวลาในการนับจำนวนโคโลนีเพียง 3 - 5 วินาทีต่อจาน ซึ่งเร็วกว่าการนับด้วยมืออย่างน้อย 24 เท่า (โดยเฉลี่ยเร็วกว่า 35 - 100 เท่า) นอกจากนี้ ABICS ยังช่วยลดระยะเวลาในการวิเคราะห์ผล ได้อย่างมาก ทำให้เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดภาระงานในการตรวจวิเคราะห์ทางจุลชีววิทยา</span></p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ออนไลน์)