วารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/sciencenrrujournal <p><a title="ประกาศมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เรื่อง อัตราค่าลงทะเบียนเพื่อลงตีพิมพ์บทความในวารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา" href="https://drive.google.com/file/d/1wFB6aA-aJXcKj8Z5TE5Gg9NKF71bzKek/view?usp=sharing" target="_blank" rel="noopener"><strong>ประกาศมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา </strong><strong>เรื่อง อัตราค่าลงทะเบียนเพื่อลงตีพิมพ์บทความในวารสารวิจัย</strong><strong> วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี</strong><strong> มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา </strong></a></p> <p><em><strong>เก็บค่าลงทะเบียน ตั้งแต่เล่มปีที่ 8 ฉบับที่ 1 เป็นต้นไป </strong></em></p> <p>อัตราค่าลงทะเบียน มีดังนี้</p> <p>1. บุคคลภายใน ค่าลงทะเบียน 2,500 บาทต่อบทความ</p> <p>2. บุคคลภายนอก ค่าลงทะเบียน 3,000 บาทต่อบทความ</p> <p><strong>วารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา</strong></p> <p><span data-contrast="auto"><strong> ISSN (Print) : 2465-4507</strong> <br /><strong>ISSN (Online) : 2730-3160</strong></span></p> <p><span data-contrast="auto">ได้รับการประเมินคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI รอบ 4 พ.ศ.2564 ให้อยู่ในกลุ่ม 2</span></p> <p><span data-contrast="auto">รับผลงานทางวิชาการที่เป็นต้นฉบับในรูปบทความวิจัย </span><span data-contrast="auto">บทความวิจัยสื่อสารอย่างสั้น</span><span data-contrast="auto"> </span><span data-contrast="auto">และบทความวิชาการปริทรรศน์</span><span data-contrast="auto"> </span><span data-contrast="auto">สามารถส่งได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</span><span data-contrast="auto"> </span><span data-contrast="auto">มีขอบเขตบทความวิจัยที่สามารถลงตีพิมพ์</span><span data-contrast="auto"> </span><span data-contrast="auto">ได้แก่</span><span data-contrast="auto"> </span><span data-contrast="auto">วิทยาศาสตร์กายภาพและชีวภาพ</span><span data-contrast="auto"> </span><span data-contrast="auto">วิทยาศาสตร์สุขภาพ</span><span data-contrast="auto"> </span><span data-contrast="auto">วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี</span><span data-contrast="auto"> </span><span data-contrast="auto">และวิทยาศาสตร์เพื่อสังคมและชุมชน</span><span data-ccp-props="{&quot;469777462&quot;:[284,1418],&quot;469777927&quot;:[0,0],&quot;469777928&quot;:[1,1]}"> รูปแบบการอ้างอิง หรือ บรรณานุกรม ให้ใช้รูปแบบ <span class="fontstyle0">APA 6</span><span class="fontstyle0">th </span><span class="fontstyle0">edition</span> Style </span></p> <p><strong><em>กำหนดออก ปีละ 2 ฉบับ </em></strong></p> <p><strong><em>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน </em></strong></p> <p><strong><em>ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</em></strong></p> คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา th-TH วารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา 2465-4507 <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ <br>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ก่อนเท่านั้น</p> การพัฒนานวัตกรรมการให้บริการทางการแพทย์สำหรับวัคซีนเด็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/sciencenrrujournal/article/view/253858 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนานวัตกรรมการให้บริการทางการแพทย์สำหรับวัคซีนเด็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจการใช้งานนวัตกรรมการให้บริการทางการแพทย์สำหรับวัคซีนเด็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย บุคลากรทางการแพทย์ คลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สาขาคลองศาลา อาสาสมัครสาธารณสุข ชุมชนเมืองเพชรบูรณ์ นักศึกษาอาสาสมัคร และผู้เข้ารับบริการคลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สาขาคลองศาลา จำนวน 400 คน โดยวิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) นวัตกรรมการให้บริการทางการแพทย์ระบบวัคซีนเด็กโดยวิธีการสอบสัมภาษณ์ผู้ใช้งาน และ 2) แบบศึกษาความพึงพอใจการใช้งานนวัตกรรมการให้บริการทางการแพทย์สำหรับวัคซีนเด็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) นวัตกรรมการให้บริการทางการแพทย์สำหรับวัคซีนเด็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป และกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 2) ผลการศึกษาความพึงพอใจการใช้งานนวัตกรรมการให้บริการทางการแพทย์สำหรับวัคซีนเด็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล พบว่า กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}">= 3.82, S.D. = 0.83)</p> เอ็ม สายคำหน่อ ศุภรัตน์ แก้วเสริม Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ 2024-12-24 2024-12-24 9 2 26 36 การบำบัดไนโตรเจนในน้ำเสียจากฟาร์มสุกร ด้วยจุลสาหร่าย Chlorella vulgaris แบบเซลล์ตรึง https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/sciencenrrujournal/article/view/256002 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการการบำบัดไนโตรเจนและสารอินทรีย์ในน้ำเสียจากฟาร์มสุกร โดยใช้จุลสาหร่ายสายพันธุ์ <em>Chlorella vulgaris</em> (<em>C.</em> <em>vulgaris</em>) แบบเซลล์ตรึง โดยใช้จุลสาหร่าย กลุ่ม <em>C.</em> <em>vulgaris</em> ที่ขยายพันธุ์ในห้องปฏิบัติการเป็นระยะเวลา 11 วัน โดยใช้อาหารเลี้ยงสาหร่ายชนิดเหลวสูตรมาตรฐาน Blue-Green Medium (BG-11) ภายใต้ความเข้มแสง 1,800 Lux มาใช้ในการศึกษาประสิทธิภาพการบำบัดไนโตรเจนน้ำเสียจากฟาร์มสุกรด้วยจุลสาหร่ายกลุ่ม <em>Chlorella vulgaris </em>แบบเซลล์ตรึง (immobilized cell) ด้วยโซเดียมอัลจิเนต พบว่า จุลสาหร่ายแบบเซลล์ตรึงสามารถบำบัดไนโตรเจนจากฟาร์มสุกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ไนโตรเจนในน้ำเสียจากฟาร์มสุกรได้ ค่าความเข้มข้นแอมโมเนีย ไนไตรท์ และไนไตรท เริ่มต้น ในถังปฏิกรณ์ 100% SW มีค่า 440 mgN L<sup>-</sup><sup>1</sup>, 0 mgN L<sup>-</sup><sup>1</sup>, และ 2.5 mgN L<sup>-</sup><sup>1</sup> ตามลำดับ และถังปฏิกรณ์ 50% SW มีค่าความเข้มข้นแอมโมเนีย ไนไตรท์ และไนไตรท 228 mgN L<sup>-</sup><sup>1</sup>, 0 mgN L<sup>-</sup><sup>1</sup>, และ 1.3 mgN L<sup>-</sup><sup>1</sup> ตามลำดับ เมื่อทดลองเดินระบบผ่านไป 13 วัน ถังปฏิกรณ์ 100% SW และถังปฏิกรณ์ 50%SW มีประสิทธิภาพการบำบัดแอมโมเนียได้ 100%</p> ผุสดี ภุมรา ภัทรพร คุนาพงษ์กิติ สุรีย์พร ธรรมิกพงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ 2024-12-24 2024-12-24 9 2 19 25 การจัดการขยะอันตรายในครัวเรือนพื้นที่เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/sciencenrrujournal/article/view/255072 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปริมาณของเสียอันตรายที่เกิดขึ้นจากครัวเรือนพื้นที่เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 2) ศึกษาความคิดเห็นของประชาชนต่อการจัดการของเสียอันตรายในครัวเรือนพื้นที่เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา และ 3) เพื่อศึกษาข้อมูลด้านจัดการของเสียอันตรายในครัวเรือนพื้นที่เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุระหว่าง 20-60 ปี ในเขตเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการสอบถามกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน และทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistics) ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ในเขตเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา มีปริมาณของเสียอันตรายในครัวเรือนประชาชน จำนวน 3,695.86 กิโลกรัมต่อปี (3.69 ตันต่อปี) โดยเป็นประเภท หลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ คิดเป็นร้อยละ 25.25 รองลงมาคือ กระป๋องสเปรย์ฆ่าแมลง กระป๋องสเปรย์ฆ่ายุง กระป๋องสีสเปรย์ คิดเป็นร้อยละ 19.83 และถ่านไฟฉาย คิดเป็นร้อยละ 10.54 ส่วนที่เหลือเป็นแบตเตอรี่รถมอเตอร์ไซค์ ภาชนะใส่น้ำมันเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ แบตเตอรี่รถยนต์ ภาชนะใส่สารเคมีกำจัดศัตรูพืช แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือและอื่นๆ ส่วนใหญ่มีการจัดการของเสียอันตรายในครัวเรือน โดยมีการคัดแยกของเสียอันตรายออกจากขยะทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 54.5 บางคนมีการกองของเสียอันตรายแยกไว้ต่างหากบนพื้นดินในบริเวณบ้านหรือนอกรั้วบ้านของตนเองและมีการเก็บของเสียอันตรายไว้ในบริเวณบ้านก่อนนำไปบำบัดหรือกำจัดนานเกินกว่า 2 วัน การขนส่งของเสียอันตรายถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 81.0 โดยหน่วยงานราชการ คือ เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา เป็นผู้ที่ทำการขนส่ง บำบัดและการกำจัดของเสียอันตรายไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม คิดเป็นร้อยละ 54.5 เพราะผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าของเสียที่ทิ้งไปจะถูกนำไปกำจัดอย่างไร</p> <p> </p> ผุสดี ภุมรา ภัทรพร คุนาพงษ์กิติ ณัฐพร สนเผือก Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ 2024-12-24 2024-12-24 9 2 11 18 ชีววิทยาบางประการของปูม้าอินโดแปซิฟิก (Charybdis hellerii (A. Milne Edwards,1867)) ในพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งหาดวอนนภา จังหวัดชลบุรี https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/sciencenrrujournal/article/view/254386 <p>วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลทางชีววิทยาบางประการของปูม้าอินโดแปซิฟิก (<em>Charybdis hellerii</em> (A. Milne Edwards, 1867) ในพื้นทีชุ่มน้ำชายฝั่งหาดวอนภา จังหวัดชลบุรี ด้วยการเก็บตัวอย่างปูจากชาวประมงพื้นบ้าน บริเวณท่าเรือประมงหาดวอนนภา ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ปูที่ได้ทำการจำแนกเพศ วัดขนาดความกว้างกระดอง (CW) ความยาวกระดอง (CL) และชั่งน้ำหนัก (W) &nbsp;ตัวอย่างปูทั้งหมดที่ได้คือ 86 ตัว ประกอบด้วยปูเพศผู้ 50 ตัว &nbsp;ปูเพศเมียที่ไม่มีไข่ติดท้อง (non-ovigerous female) &nbsp;13 ตัว และปูเพศเมียที่มีไข่ติดท้อง (ovigerous female)&nbsp; 23 ตัว ปูทั้งหมดมีความกว้างกระดอง ยาวกระดอง อยู่ในช่วง 49.00 -98.00, 35.50 -54.00 มิลลิเมตร ตามลำดับ และมีน้ำหนักตัวอยู่ในช่วง 22.10 -123.90 กรัม โดยปูทั้งสองเพศ ปูเพศผู้ ปูเพศเมียมีความสัมพันธ์ระหว่างความกว้างกระดอง และน้ำหนักตัว ในรูปสมการ คือ&nbsp; W = 0.0014CW<sup>2.529 </sup>(R<sup>2</sup>= 0.6572),&nbsp; W = 0.0002CW<sup>3.0405&nbsp; </sup>(R<sup>2</sup>= 0.8376)&nbsp;&nbsp; และ W =&nbsp; 0.0449CW1.672 (R<sup>2</sup>= 0.8165) ตามลำดับ ปูทั้งหมดมีอัตราส่วนเพศผู้ต่อเพศเมีย เท่ากับ 1:0.72 ซึ่งไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&gt;0.05) จากอัตราส่วนเพศ 1:1 ปูม้าอินโดแปซิฟิก (<em>C. heller</em>i) มีความดกไข่อยู่ในช่วง&nbsp; 225,874 -355,724 ฟอง โดยมีความดกไข่เฉลี่ยเท่ากับ 295,766 ฟอง &nbsp;จากการศึกษาอาหาร นิสัยการกินของปูด้วยวิธี Frequency of occurrence method พบว่าในกระเพาะของปู ประกอบด้วย ครัสตาเซีย (100 %) หอย (33%) ชื้นส่วนต่างๆ ของปลา (16.66%) ทราย (20%) พลาสติกขนาดเล็ก (10%) และอินทรียสาร (8.33%)</p> <p>&nbsp;</p> นุชจรินทร์ แกล้วกล้า วริศรา ข่าขันมะลี เพ็ญแข คุณาวงค์เดช Copyright (c) 2024 วารสารวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ 2024-12-24 2024-12-24 9 2 1 10