วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scihcu <p>วารสารมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบด้วยสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์กายภาพ วิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร วิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเพื่อส่งเสริมให้เกิดความรู้ทางวิชาการแก่สังคมทั่วไป และสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนักศึกษาเสนอผลงานวิชาการ</p> มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ th-TH วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 2985-1653 <p>บทความทุกบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ</p> <p> </p> โมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีผลต่อการสูงวัยอย่างมีสุขภาวะของผู้สูงอายุในเขตสุขภาพที่ 9 กระทรวงสาธารณสุข https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scihcu/article/view/259357 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีผลต่อการสูงวัยอย่างมีสุขภาวะของผู้สูงอายุในเขตสุขภาพที่ 9 กระทรวงสาธารณสุข และพัฒนาโมเดลสมการโครงสร้างที่สะท้อนความสัมพันธ์ของปัจจัยเชิงสาเหตุเหล่านี้กับข้อมูลเชิงประจักษ์ ปัจจัยที่ศึกษา ได้แก่ การเห็นคุณค่าในตนเอง วิถีชีวิตส่งเสริมสุขภาพ การสนับสนุนทางสังคม และการเข้าถึงบริการสุขภาพกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สูงอายุจำนวน 520 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่าโมเดลสมการโครงสร้างที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (χ² = 284.294, df = 131, χ²/df = 2.170, p = 0.000, CFI = 0.984, GFI = 0.957, AGFI = 0.909, TLI = 0.968, NFI = 0.970, RMSEA = 0.047) โดยพบว่าวิถีชีวิตส่งเสริมสุขภาพมีอิทธิพลทางตรงสูงสุดต่อสุขภาวะของผู้สูงอายุ (0.96) รองลงมาคือ การสนับสนุนทางสังคม (0.81) การเข้าถึงบริการสุขภาพ (0.32) และการเห็นคุณค่าในตนเอง (0.07) ตามลำดับ ปัจจัยทั้งหมดสามารถอธิบายความแปรปรวนของการสูงวัยอย่างมีสุขภาวะได้ร้อยละ 80.9</p> บัว ฤดูบัว ฐาวรี ขันสำโรง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-12 2025-09-12 11 2 1 11 การสำรวจชนิดและการใช้ประโยชน์ของข่าในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scihcu/article/view/259198 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากชนิด และการใช้ประโยชน์ของข่าในพื้นที่อำเภอบางบ่อ อำเภอบางพลี อำเภอบางเสาธง และอำเภอเมืองสมุทรปราการ ซึ่งมีการดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 โดยมีการเก็บตัวอย่างพืชเพื่อใช้ตรวจสอบชื่อพฤกษศาสตร์ จัดทำตัวอย่างพรรณไม้แห้ง บันทึกข้อมูลพืช ชื่อพื้นเมือง ช่วงเวลาการออกดอก นิเวศวิทยา และได้สร้างรูปวิธานระบุชนิด รวมถึงมีการบันทึกข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ที่มีความรู้ในการใช้ประโยชน์จากพืช จากผลการศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยาในตัวอย่างข่าทั้งหมด 32 ตัวอย่าง พบว่ามีข่าจำนวน 2 ชนิด ได้แก่ ข่าหลวง (<em>Alpinia galanga</em> (L.) Willd.) และข่าแดง (<em>Alpinia siamensis</em> K. Schum.) โดยชนิดที่มีการกระจายพันธุ์ในพื้นที่มากที่สุดคิดเป็น 84 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ <em>A. siamensis</em> ข่าชนิดนี้พบในพื้นที่ปลูกทั้ง 4 อำเภอ 18 ตำบล ส่วนชนิด <em>A. galanga</em> พบในพื้นที่ปลูก 3 อำเภอ 4 ตำบล คิดเป็น 16 เปอร์เซ็นต์ ในการศึกษาครั้งนี้ได้มีการเก็บข่าในตำบลบางเพรียง อ.บางบ่อ ทั้งหมด 3 ตัวอย่าง โดยผลการตรวจสอบพบว่าเป็น <em>A. siamensis</em> ทั้งหมด ซึ่งข่าของตำบลบางเพรียงค่อนข้างมีชื่อเสียงเนื่องจากมีขนาดเหง้าใหญ่ ขาว สวยและอร่อย ทำให้มีพ่อค้ามารับซื้อทั้งจากในพื้นที่และนอกพื้นที่ สำหรับการศึกษาข้อมูลการใช้ประโยชน์สามารถแบ่งการใช้ประโยชน์ออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ด้านอาหาร และด้านสมุนไพร ซึ่งความรู้ต่าง ๆ เหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสืบต่อกันมา</p> ยุคลธร สถาปนศิริ รัมภ์รดา มีบุญญา ชวนพิศ จิระพงษ์ ผุสดี สิรยากร อลิศรา พรายแก้ว วิภาพรรณ ชนะภักดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-10 2025-10-10 11 2 12 27 ประสิทธิภาพการเก็บกักอุณหภูมิของถุงประคบบรรจุธัญพืชตระกูลถั่วเพื่อการประยุกต์ใช้ในการแพทย์แผนไทย https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scihcu/article/view/259578 <p>การรักษาด้วยความร้อนเป็นวิธีการรักษาอย่างหนึ่งทางการแพทย์แผนไทยที่ใช้ในการบรรเทาอาการปวดของระบบกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และระบบไหลเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการเก็บกักอุณหภูมิของถุงประคบร้อนที่บรรจุธัญพืชตระกูลถั่วท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คัดเลือกธัญพืชตระกูลถั่ว 7 สายพันธุ์ ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วพุ่ม ถั่วเหลือง ถั่วแปบ ถั่วขอ ถั่วลิสง และถั่วแดงหลวง นำมาผสมกับถั่วเขียวในอัตราส่วน 1:1 น้ำหนักถุงละ 200 กรัม บรรจุในถุงผ้าฝ้าย ให้ความร้อนด้วยเครื่องไมโครเวฟ 850 วัตต์ เป็นเวลา 2 นาที วัดอุณหภูมิทุก 1 นาที เป็นเวลา 15 นาที ทำการทดลองซ้ำ 9 ครั้ง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่าถุงประคบถั่วเขียวผสมถั่วพุ่มมีประสิทธิภาพการเก็บกักความร้อนดีที่สุด โดยมีอุณหภูมิเริ่มต้น 68.00±0.70°C และอุณหภูมิสุดท้าย 37.33±1.41°C การสูญเสียความร้อนเพียง 45.1% สามารถรักษาอุณหภูมิในช่วง 40-45°C ได้นาน 12.5 นาที ซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการบำบัดทางกายภาพ การวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของธัญพืชตระกูลถั่วที่สามารถใช้เป็นสื่อเก็บกักความร้อนในถุงประคบร้อนที่มีประสิทธิภาพสำหรับการแพทย์แผนไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรท้องถิ่น</p> พชรมน สอนเจริญ อดิศักด์ สุมาลี สุธาสินี สงวนโภคัย พชร ตรีทิพย์ธนากุล เพ็ญจันทร์ ประจันตะเสน อชิรกฤษฎ์ วาเสฏฐิรังษี วิรา นิลดำ อำภา คนซื่อ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-10 2025-10-10 11 2 28 38 ความหนืดของกลีเซอรีนตามกฎของสโตกส์และสมการลันเดา-ลิฟซิตซ์ที่ทดสอบด้วยการทดลองการสั่นแบบฮาร์มอนิกที่หน่วงต่ำ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scihcu/article/view/260592 <p>งานวิจัยนี้ศึกษาค่าความหนืดระหว่างแบบจำลองสมการลันเดา-ลิฟซิซ (Landau-Lifshitz) และกฎของสโตกส์ โดยการสั่นแบบฮาร์มอนิกที่หน่วงต่ำโดยเก็บข้อมูลการเคลื่อนที่ของลูกเหล็กแล้วประมวลผลด้วยโปรแกรม tracker เพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทาน (<span class="CCcommand"><img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\gamma&amp;space;" alt="equation" /></span>)ความถี่เชิงมุมของการสั่น ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\omega" alt="equation" /> ) เปรียบเทียบค่าความหนืดจากเครื่องวัดความหนืดผลการทดลองพบว่าค่า <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\gamma&amp;space;" alt="equation" /> และค่าความหนืดเพิ่มขึ้นตามความเข้มข้นของกลีเซอรีนแต่ค่า <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\omega" alt="equation" /> ลดลง ค่าความหนืดจากสมการของลันเดา-ลิฟซิซมีค่าใกล้เคียงกับค่าที่ได้จากเครื่องมือวัดโดยกฎของสโตกส์สามารถใช้สำหรับอธิบายค่าความหนืดในขณะความเร็วคงที่ ซึ่งแตกต่างจากสมการแบบจำลองลันเดา-ลิฟซิซที่มีการพิจารณาผลของวัตถุที่ความเร็วไม่คงที่ เมื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างค่า กับค่าความหนืด พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามระยะยืดของสปริง ที่ระยะยืดของสปริงเท่ากับ 2 cm มีการส่ายบนระนาบน้อยที่สุดและมีค่าความหนืดใกล้เคียงกับเครื่องมือวัด แต่ที่กลีเซอรีนความเข้มข้น 70% โดยปริมาตรมีค่าที่แตกต่างเทียบกับเครื่องมืดวัดมากกว่า 70 % โดยหนึ่งในสาเหตุเกิดจากการที่ของเหลวเกาะที่ผิววัตถุส่งผลทำให้มวลโดยรวมของวัตถุมีการเปลี่ยนแปลงส่งผลต่อการคำนวณหาค่าความหนืด จึงได้ข้อสรุปว่าที่ระยะยืดของสปริงเท่ากับ 2 cm และความเข้มข้น 10% 30% และ 50% ที่คำนวณด้วยสมการแบบจำลองลันเดา-ลิฟซิซค่าความหนืดจากการทดลองสอดคล้องกับเครื่องมือวัดซึ่งเหมาะสำหรับการพัฒนาการเรียนการสอนในชั้นเรียน</p> อนันต์ อาแว ปรัชญา ตั้งจิตสมบูรณ์ จามร วสุรัตน์มณี พินธุดิฐ กลิ่นขจร เกวลี นิลกำแหง ดุสิต งามรุ่งโรจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-28 2025-10-28 11 2 39 48 Solution of the exponential Diophantine Equation n^x+(2p-1)^y=z^2 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scihcu/article/view/259418 <p>This study investigates the exponential Diophantine equation <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;n^{x}&amp;plus;\left(2p-1\right)^{y}=z^{2}" alt="equation" />where <em>p</em> is a prime number and <em>n, x, y, z</em> are non-negative integers, subject to the modular condition</p> <p><img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;n&amp;space;5(mod&amp;space;12)with&amp;space;gcd\left(n,2p-1\right)=1." alt="equation" /></p> <p>The primary objective is to determine all non-negative integer solutions of this equation by employing quadratic residue theory, modular arithmetic, and its connections to Pell-type equations.</p> <p>The results demonstrate that the equation admits a unique non-negative integer solution given by </p> <p><img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\left(n,p,x,y,z\right)=\left(n,2,0,1,2\right)" alt="equation" /></p> <p>For all other values of <em>p</em>, no non-negative integer solutions exist, and it can be rigorously proven that cannot be a perfect square outside this solution. These findings provide a clear classification of the solution set structure and offer theoretical insights beneficial for further studies on exponential Diophantine equations, including potential applications in computational number theory and cryptographic systems.</p> Vipawadee Moonchaisook ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-04 2025-11-04 11 2 49 58 Application of the Simple Equation Method with Jumarie’s Modified Riemann–Liouville Derivative to Space–Time Fractional Nonlinear mBBM and ZKBBM https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scihcu/article/view/260288 <p>This paper employs the Simple Equation (SE) method in conjunction with Jumarie’s modified Riemann–Liouville fractional derivative to derive exact solutions for the space–time fractional modified Benjamin–Bona–Mahony (mBBM) and Zakharov–Kuznetsov Benjamin–Bona–Mahony (ZKBBM) equations. The obtained exponential-type solutions describe kink-shaped traveling waves, which are illustrated through 2D, 3D, and contour plots using suitable parameters. The results confirm the efficiency and reliability of the proposed method as a robust analytical technique for deriving traveling wave solutions in nonlinear fractional models encountered in science and engineering. This study extends the SE method within the framework of Jumarie’s modified Riemann–Liouville fractional derivative, broadening its applicability to space–time fractional systems. The approach establishes a new analytical framework for fractional traveling wave solutions, and the derived results uncover additional dynamical behaviors of the mBBM and ZKBBM equations, demonstrating both the originality and effectiveness of the proposed method.</p> Orapan Janngam Supinan Janma Jiraporn Sanjun ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-14 2025-11-14 11 2 75 88 กลไกการดื้อยาและการแพร่กระจายยีนดื้อของแบคทีเรียแกรมลบในระบบบำบัดน้ำเสีย: มุมมองเชิงสิ่งแวดล้อมเพื่อการจัดการความเสี่ยง https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/scihcu/article/view/259954 <p>เชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะ (Antimicrobial Resistance: AMR) เป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียแกรมลบซึ่งมีกลไกการดื้อยาหลายรูปแบบ เช่น การสร้างเอนไซม์ย่อยสลายยา การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเป้าหมายของยา และการขับยาปฏิชีวนะออกจากเซลล์ โดยพบว่าระบบบำบัดน้ำเสียจากโรงพยาบาล โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชน ถือเป็น “จุด hotspot” สำคัญที่ส่งเสริมการสะสมและแพร่กระจายของเชื้อดื้อยา (Antibiotic-Resistant Bacteria: ARB) และยีนดื้อยา (Antibiotic-Resistance Genes: ARGs) เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการถ่ายทอดยีนในแนวนอน (Horizontal Gene Transfer: HGT) บทความนี้เป็นการทบทวนวรรณกรรมเชิงบรรยาย (Narrative Review) ที่สรุปกลไกการดื้อยา การแพร่กระจายของยีนดื้อยาในระบบบำบัดน้ำเสีย และเทคโนโลยีใหม่ในการจัดการเชิงสิ่งแวดล้อม พบว่าระบบบำบัดแบบดั้งเดิมยังไม่สามารถกำจัดยีนดื้อยาได้สมบูรณ์ จำเป็นต้องเสริมด้วยกระบวนการฆ่าเชื้อขั้นสูง เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต โอโซน และกระบวนการออกซิเดชันขั้นสูง รวมทั้งควบคุมการปล่อยยาปฏิชีวนะและโลหะหนักจากแหล่งกำเนิด แนวทาง “One Health” จึงเป็นกรอบสำคัญในการบูรณาการสุขภาพมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาอย่างยั่งยืน</p> สุรีย์พร เอี่ยมศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-14 2025-11-14 11 2 59 74