https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/issue/feed
คุรุสภาวิทยาจารย์
2024-08-31T13:47:27+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม
withayajarn@gmail.com
Open Journal Systems
<p> <strong>คุรุสภาวิทยาจารย์</strong></p> <p> วารสารคุรุสภาวิทยาจารย์มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ ด้านสังคมศาสตร์ และด้านมนุษยศาสตร์ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาชีพครู และบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลง สร้างความตระหนัก และให้ความสำคัญ รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และวิชาชีพทางการศึกษา</p> <p><strong>รูปแบบการกลั่นกรองบทความก่อนลงตีพิมพ์ (Peer reviews) </strong></p> <p><strong> (Double-blind peer review) <br /></strong> - ผู้ประเมินบทความ (Reviewer) ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง (Author) <br /> - ผู้แต่ง (Author) ไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน (Reviewer)</p> <p><strong>จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิในการพิจารณา <br /></strong> 2 ท่าน<br /><strong>การจัดทำวารสารคุรุสภาวิทยาจารย์<br /></strong> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เมษายน (เผยแพร่สิ้นเดือนเมษายน)<br /> ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม (เผยแพร่สิ้นเดือนสิงหาคม)<br /> ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม (เผยแพร่สิ้นเดือนธันวาคม)</p> <p><strong>กำหนดตีพิมพ์ฉบับละ 10 บทความ<br /></strong> บทความวิชาการ 1 - 2 บทความ<br /> บทความวิจัย 7 - 8 บทความ </p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการลงบทความในวารสาร<br /> * ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการลงบทความในวารสาร*</strong></p> <p><strong>รูปแบบการอ้างอิงเอกสาร<br /> * รูปแบบ APA 7 *</strong></p>
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/253411
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ดาว โดยประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านดงโทน จังหวัดบึงกาฬ
2024-07-31T17:02:16+07:00
เอกลักษณ์ ราชไรกิจ
aekkalak.ra@ksu.ac.th
สุภาวดี ศรีนุกูล
nim0854663549@gmail.com
<p> การวิจัยในชั้นเรียนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ดาว โดยประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ ให้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ต่อการประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ณ โรงเรียนบ้านดงโทน จังหวัดบึงกาฬ จำนวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ดาว โดยประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ จำนวน 10 แผน แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบสัมภาษณ์ความคิดเห็น และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนได้รับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ดาว โดยประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 วงจรปฏิบัติการที่ 1 จำนวน 7 คน (ร้อยละ 63.64) วงจรปฏิบัติการที่ 2 จำนวน 9 คน (ร้อยละ 81.82) และวงจรปฏิบัติการที่ 3 จำนวน 11 คน (ร้อยละ 100) และ 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ จำนวน 11 คน มีความพึงพอใจคิดเป็นร้อยละ 92.32 ซึ่งอยู่ในระดับ<br />เห็นด้วยมากที่สุด</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/252106
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน โดยการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-03-13T13:21:50+07:00
ศุภลักษณ์ ชัยอาวุธ
supaluk.c@kkumail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน โดยการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนและหลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 60 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหนองกุง อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 12 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการเรียนรู้ เรื่อง เศษส่วน โดยการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา และ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ช่วยพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้น ป.6 หลังเรียนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างชัดเจนและสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 ที่กำหนดไว้</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/252773
การพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิค SQ6R ร่วมกับแบบฝึกทักษะชุดวรรณกรรมท้องถิ่นจังหวัดสุโขทัย
2024-03-20T15:28:17+07:00
ชูศักดิ์ เข็มมงคลศิริ
chkhemmongkhonsiri@gmail.com
ทรงภพ ขุนมธุรส
Songphop.kh@gmail.com
<p> การวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 รวมทั้งศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ โดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิค SQ6R ร่วมกับแบบฝึกทักษะชุดวรรณกรรมท้องถิ่นจังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านวังตะคร้อ (ธนาคารกรุงเทพ 5) จำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค SQ6R ร่วมกับแบบฝึกทักษะชุดวรรณกรรมท้องถิ่นจังหวัดสุโขทัย 2) แบบฝึกทักษะชุดวรรณกรรมท้องถิ่นจังหวัดสุโขทัย 3) แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าเฉลี่ย (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความ<br />พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ โดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิค SQ6R ร่วมกับแบบฝึกทักษะชุดวรรณกรรมท้องถิ่นจังหวัดสุโขทัย อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/252354
การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงร้อยแก้วโดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ร่วมกับหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุด “เล่าขานนิทานใต้” และ Matching Game สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2024-03-13T13:35:19+07:00
อรบุษย์ บุษย์เพชร
orabud@mschool.ac.th
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงร้อยแก้วของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียน<br />ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนเมืองกระบี่ อำเภอเมือง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 37 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) รูปแบบและแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2) หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุด “เล่าขานนิทานใต้” 3) Matching Game 4) แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงร้อยแก้ว และ 5) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และทดสอบสมมติฐานการทดสอบค่า t แบบ Dependent Samples t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. การจัดการเรียนรู้เชิงรุกรูปแบบใหม่ เรียกว่า NITAN มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 84.90/86.22 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2. ผลการวัดทักษะการอ่านออกเสียงร้อยแก้วของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้เชิงรุกตามที่ออกแบบ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .01 และ 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิชาภาษาไทยในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกตามที่ออกแบบ ภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.62</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/253188
การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ด้วยเทคนิค IDEAL ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนไผ่วงวิทยา จังหวัดอ่างทอง
2024-07-25T16:28:00+07:00
ณัฐธยาน์ จันทรวงศ์
nnuttaya.ch@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ด้วยเทคนิค IDEAL การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนไผ่วงวิทยา จังหวัดอ่างทอง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยเทคนิค IDEAL พร้อมด้วยแบบทดสอบย่อยวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ท้ายแผน 2) แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้<br />ของนักเรียน 4) แบบบันทึกการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ และ 5) แบบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์แบบอัตนัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา โดยการตีความ และการจัดทำข้อสรุป</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า หลังปฏิบัติการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยเทคนิค IDEAL นักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยการทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 33.78 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 70.38 และมีจำนวนนักเรียนร้อยละ 78.57 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมดมีคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 <br />ขึ้นไป รวมทั้งความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกวงจร</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/252064
การเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ที่มีต่อการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่องลำดับและอนุกรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสระกระโจมโสภณพิทยา จังหวัดสุพรรณบุรี
2024-03-21T09:12:51+07:00
ธมนวรรณ คงหอม
fah.tamonwan@skps.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสระกระโจมโสภณพิทยา อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนนักเรียน 28 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL และ 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL สูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/253098
การพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณในการเรียนวิชาภาษาไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS 5 Steps) ร่วมกับเทคนิคการตั้งคำถาม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
2024-07-25T16:26:34+07:00
สมเกียรติ รองประโคน
ss1004408@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ ( GPAS 5 Steps) ร่วมกับเทคนิคการตั้งคำถาม ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/6 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 40 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS 5 Steps) ร่วมกับเทคนิคการตั้งคำถาม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.10/83.17 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 2) ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียน หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/251616
การศึกษาการปฏิบัติการสอนที่ใช้แนวทางสะเต็มศึกษาและกระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมของนักเรียน: กรณีศึกษาครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา
2024-07-25T16:23:14+07:00
กิตติศักดิ์ มโนพัฒนกร
kittisak.ma@ku.th
พงศ์ประพันธ์ พงษ์โสภณ
feduppp@ku.ac.th
วุฒิพงษ์ ทวีวงศ์
archvpd@ku.ac.th
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปฏิบัติการสอนที่ใช้แนวทางสะเต็มศึกษาและกระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมของนักเรียน กรณีศึกษาคือครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาจำนวน 3 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ 4 ด้าน ได้แก่ 1) ความรู้ด้านการสอนและประสบการณ์สอนเกี่ยวกับการสอนตามแนวทางสะเต็มศึกษา และกระบวนการคิดเชิงออกแบบแบบบูรณาการ 2) การจัดการเรียนการสอนตามกระบวนการคิดเชิงออกแบบ 3) บทบาทของครู และ 4) การวัดและประเมินผล </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ครูวิทยาศาสตร์มีความรู้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการสอนตามแนวทางสะเต็มศึกษาและกระบวนการคิดเชิงออกแบบในเรื่องการส่งเสริมให้นักเรียนทดสอบประสิทธิภาพของตัวต้นแบบ และปรับปรุงพัฒนาตัวต้นแบบให้ดีที่สุด ส่วนในชั้นเรียน ครูมีความเข้าใจถูกต้องว่า ครูทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในการสร้างนวัตกรรมของนักเรียน และมีการวัดและประเมินผลนักเรียนทั้งในระหว่างการทำงาน และประเมินผลงานเมื่อแล้วเสร็จ ทั้งนี้ ครูวิทยาศาสตร์ควรส่งเสริมให้นักเรียนทำการสร้างตัวต้นแบบและทำการทดสอบซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ได้นวัตกรรมที่ดีที่สุด งานวิจัยนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความต้องการจำเป็นในการส่งเสริมและพัฒนาการสอนของครูวิทยาศาสตร์ให้สามารถสอน โดยใช้การออกแบบเป็นฐานในสะเต็มศึกษา</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/251376
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับวัฒนธรรมองค์กร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์
2024-03-27T11:39:09+07:00
วรรณิษา สีโถ
wannisa0550@gmail.com
ศุภกร อนันตปุระ
supakornanantapura@gmail.com
ศิริสกุล ไชยวันดี
sirisakulchaiwan16@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ 2) วัฒนธรรมองค์กร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร สถานศึกษากับวัฒนธรรมองค์กร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือคณะครูและบุคลากรสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 104 คน จาก 7 โรงเรียน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น โดยมีหน่วยสุ่มเป็นโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามแบบมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์์ โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก 2) วัฒนธรรม องค์กร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับวัฒนธรรมองค์กร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/252783
ความต้องการจำเป็นในการบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนวัดนวลนรดิศตามแนวคิดการมีสติ
2024-03-20T15:23:21+07:00
ชัยจุติ โอสถ
chaijuti.osot@gmail.com
ธีรภัทร กุโลภาส
dhirapat.k@chula.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีสติของนักเรียน และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภูมิหลังกับการมีสติของนักเรียน และ 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ตามแนวคิดการมีสติ โดยมีผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้บริหารโรงเรียน ครู และนักเรียน โรงเรียนวัดนวลนรดิศ จำนวน 465 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดระดับการมีสติของนักเรียนและแบบสอบถามสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารกิจการนักเรียนโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ตามแนวคิดการมีสติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็นอิสระจากกัน และค่าดัชนีลำดับความต้องการจําเป็น</p> <p> ผลวิจัยพบว่า 1) ระดับการมีสติของนักเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ปัจจัยภูมิหลังที่ส่งผลต่อการมีสติของนักเรียนคือ ระดับการศึกษา และผลการเรียน และ 2) ความต้องการจำเป็นในการบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนวัดนวลนรดิศตามแนวคิดการมีสติ ในภาพรวม เท่ากับ 0.326 เมื่อวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นรายด้าน พบว่า งานวินัยและความประพฤติ มีความต้องการจำเป็นสูงสุด รองลงมาคือ งานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามลำดับ</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/253553
ห้องเรียนภาษาไทยโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน: จากแนวคิดสู่แนวทางการจัดการเรียนรู้
2024-07-25T14:24:37+07:00
สุรพงษ์ กล่ำบุตร
soomo22@gmail.com
<p> บทความนี้เป็นการนำเสนอการประยุกต์แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เพื่อเป็นแนวทางให้ครูภาษาไทยได้สร้างประสบการณ์การเรียนรู้แบบใหม่ ออกแบบห้องเรียนและกิจกรรมการเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่มีชุมชนเป็นทรัพยากรส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน และสิ่งสำคัญคือครู นักเรียน และชุมชนจะได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน นำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ของทุกภาคส่วน และเพื่อจุดประกายให้ครูหลาย ๆ คนต่อยอดนวัตกรรมห้องเรียนภาษาไทยให้น่าสนใจสร้างความกระตือรือร้นให้ผู้เรียน และสานประโยชน์ร่วมกับชุมชน โดยบทความกล่าวถึง 1) ความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน 2) แนวคิดของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน 3) แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานในห้องเรียนภาษาไทย และ 4) การประยุกต์จัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์