คุรุสภาวิทยาจารย์ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal <p> <strong>คุรุสภาวิทยาจารย์</strong></p> <p> วารสารคุรุสภาวิทยาจารย์มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ ด้านสังคมศาสตร์ และด้านมนุษยศาสตร์ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาชีพครู และบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลง สร้างความตระหนัก และให้ความสำคัญ รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และวิชาชีพทางการศึกษา</p> <p><strong>รูปแบบการกลั่นกรองบทความก่อนลงตีพิมพ์ (Peer reviews) </strong></p> <p><strong> (Double-blind peer review) <br /></strong> - ผู้ประเมินบทความ (Reviewer) ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง (Author) <br /> - ผู้แต่ง (Author) ไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน (Reviewer)</p> <p><strong>จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิในการพิจารณา <br /></strong> 2 ท่าน<br /><strong>การจัดทำวารสารคุรุสภาวิทยาจารย์<br /></strong> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เมษายน (เผยแพร่สิ้นเดือนเมษายน)<br /> ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม (เผยแพร่สิ้นเดือนสิงหาคม)<br /> ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม (เผยแพร่สิ้นเดือนธันวาคม)</p> <p><strong>กำหนดตีพิมพ์ฉบับละ 10 บทความ<br /></strong> บทความวิชาการ 1 - 2 บทความ<br /> บทความวิจัย 7 - 8 บทความ </p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการลงบทความในวารสาร<br /> * ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการลงบทความในวารสาร*</strong></p> <p><strong>รูปแบบการอ้างอิงเอกสาร<br /> * รูปแบบ APA 7 *</strong></p> สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ th-TH คุรุสภาวิทยาจารย์ 1513-1912 <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารคุรุสภาวิทยาจารย์ ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการคุรุสภาวารสารไม่จาเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารคุรุสภาวิทยาจารย์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารคุรุสภาวิทยาจารย์ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนาทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทาการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จากวารสารคุรุสภาวิทยาจารย์ก่อนเท่านั้น</p> ปัญญาประดิษฐ์ (AI) : การประยุกต์ใช้ทางการศึกษา https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/253570 <p>ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI เป็นเทคโนโลยี ที่กำลังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมากขึ้นเพื่อมาช่วยมนุษย์ในการดำเนินชีวิตและการทำงาน โดยมีแนวโน้มในการนำปัญญาประดิษฐ์มาทำงานแทนมนุษย์ในหลายภาคส่วน ปัจจุบันได้ก้าวข้ามการทดลองใช้สู่การประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง และได้มีการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในวงการศึกษาโดยมีการศึกษาและวิจัยในหลายๆประเทศ และได้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ด้านการศึกษา ด้วยความสามารถในการปรับปรุงการสอนและสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีขึ้น การจัดการเรียนรู้บนฐาน AI เป็นที่นิยมในการพัฒนาการศึกษาในปัจจุบัน การใช้ AI ในการจัดการเรียนรู้ช่วยให้สามารถปรับปรุงการสอนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถปรับปรุงเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับระดับความเข้าใจของนักเรียนแต่ละคน บทความนี้กล่าวถึงเนื้อหาสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ นัยของปัญญาประดิษฐ์ ขอบเขตของปัญญาประดิษฐ์ การก่อกำเนิดปัญญาประดิษฐ์ มิติการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อการศึกษา และบทสรุป</p> นฤดล จันทรเพ็ชร์ Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์ 2024-12-27 2024-12-27 6 1 1 13 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องคำราชาศัพท์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/253743 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง คำราชาศัพท์ สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์กำหนด 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน และหลังเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง คำราชาศัพท์ ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 โรงเรียนบุญคุ้มราษฎร์บำรุง จังหวัดปทุมธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน โดยใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน และหลังเรียน แบบประเมินความพึงพอใจบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 96.67/85.33 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดยภาพรวม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</p> สุภัชฌาน์ ศรีเอี่ยม สกาวใจ ปุลพลับ พิสิชา ชื่นกุศล Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์ 2024-12-27 2024-12-27 6 1 17 29 การศึกษาระดับความคิดทางเรขาคณิตตามแนวคิดของแวนฮีลี เรื่อง รูปหลายเหลี่ยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/253466 <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับความคิดทางเรขาคณิตตามแนวคิดของแวนฮีลี เรื่อง รูปหลายเหลี่ยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลพิษณุโลก ปีการศึกษา 2566 จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบจำนวน 2 ชุด ชุดที่ 1 แบบปรนัยชนิดเติมคำ จำนวน 3 ข้อ และชุดที่ 2 แบบอัตนัย จำนวน 12 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผู้วิจัยได้วิเคราะห์เชิงเนื้อหา พบว่า ขอบเขตด้านเนื้อหา เรื่อง รูปหลายเหลี่ยม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีระดับความคิดทางเรขาคณิตสูงสุด คือ ระดับ 2 การนิรนัยอย่างไม่เป็นทางการ ส่วนระดับ 3 การนิรนัย และระดับ 4 สุดยอด ไม่ปรากฏ เพราะไม่มีการพิสูจน์หรือนิรนัยอย่างเป็นทางการ เนื่องจากการนิรนัยในระดับนี้นักเรียนต้องเข้าใจการใช้ระบบสัจพจน์ในการสร้างทฤษฎีบททางเรขาคณิต เข้าใจความสัมพันธ์และบทบาทของคำอนิยาม สัจพจน์ บทนิยาม ทฤษฎีบท และการพิสูจน์ด้วยตนเองได้ เข้าใจความแตกต่างระหว่างประพจน์และบทกลับของประพจน์ และผลการทดสอบ พบว่า นักเรียนมีระดับความคิดทางเรขาคณิตตามแนวคิดของแวนฮีลี ระดับ 0 การมองเห็น ร้อยละ 20.00 ระดับ 1การวิเคราะห์ ร้อยละ <em> </em>17.5 และระดับ 2 การนิรนัยอย่างไม่เป็นทางการ ร้อยละ 62.5</p> ลออง สุนทรชัย Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์ 2024-12-27 2024-12-27 6 1 30 42 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีที่จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL PLUS ร่วมกับแบบฝึก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/253894 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียน ที่ใช้เทคนิควิธีการสอน KWL PLUS ร่วมกับแบบฝึก ในรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/11 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จังหวัดยะลา จำนวน 1 ห้องเรียน มีจำนวนนักเรียน 30 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL PLUS ร่วมกับแบบฝึก และ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสถิติ t-test for Dependent Sampling</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการเรียนรู้วรรณคดีที่จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL PLUS ร่วมกับแบบฝึก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.5</p> อารียา ปาร์เด็ม Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์ 2024-12-27 2024-12-27 6 1 43 54 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อิทธิพลภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้รูปแบบการสอน CIPPA MODEL https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/253511 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องอิทธิพลภาษาต่างประเทศในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการสอน CIPPA MODEL 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอน CIPPA MODEL กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จำนวน 27 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่า t แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่องอิทธิพลภาษาต่างประเทศในภาษาไทยโดยใช้รูปแบบการสอน CIPPA MODEL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอน CIPPA MODEL อยู่ในระดับมากที่สุด</p> สิทธินนท์ ซ้ายน้ำจืด อัมรินทร์ บุตรหลำ จุฑาทิพย์ ไกรนรา Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์ 2024-12-27 2024-12-27 6 1 55 66 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยีของครูผู้สอน ภายใต้หัวข้อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการเรียนรู้ https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/256306 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยีของครูผู้สอนภายใต้หัวข้อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการเรียนรู้ และ 2) ศึกษาประสิทธิผลของหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยีของครูผู้สอนภายใต้หัวข้อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนในระดับชั้นมัธยมศึกษา สำนักเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่สนใจเข้าร่วมอบรมจำนวน 72 <span style="text-decoration: line-through;"> </span>คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย หลักสูตรฝึกอบรม คู่มือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินความสามารถของครูในการออกแบบสื่อการจัดการเรียนรู้ และแบบประเมินความพึงพอใจของครู สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (M) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD.)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. หลักสูตรฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย องค์ประกอบสำคัญ 5 ส่วน ได้แก่ 1) หลักการของหลักสูตร 2) วัตถุประสงค์ 3) ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม 4) การวัดและประเมินผลของหลักสูตรฝึกอบรม และ 5) ปัจจัยสนับสนุนการนำหลักสูตรฝึกอบรมไปใช้ 2. ผลการหาประสิทธิผลของหลักสูตรฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้น พบว่าหลังการอบรมตามหลักสูตรฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้น ครูผู้สอนมีความสามารถด้านเทคโนโลยีในการออกแบบสื่อการเรียนรู้โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อยู่ในระดับมาก และมีความพึงพอใจต่อหลักสูตรฝึกอบรมอยู่ในระดับมาก</p> ศรัณย์ ขนอม นันทพร รอดผล ชลธิดา ดวงงามยิ่ง ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์ 2024-12-27 2024-12-27 6 1 67 81 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ สำหรับนักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/255530 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ 2) ศึกษาทักษะการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ และ 3) ศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อคุณภาพของกิจกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาดนตรีศึกษา คณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จำนวน 39 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ 2) แบบประเมินทักษะการจัดการเรียนรู้ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อคุณภาพของกิจกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ ขั้นการเตรียมความพร้อมและกำหนดปัญหา ขั้นการจัดตั้งทีมในการดำเนินการ ขั้นการไตร่ตรอง ค้นคว้าและวางแผนการดำเนินการ ขั้นปฏิบัติการ และขั้นการนำเสนอและประเมินผล มีคุณภาพอยู่ในระดับ มากที่สุด 2) ทักษะการจัดการเรียนรู้หลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบัติการฯ อยู่ในระดับดี และ 3) ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อคุณภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบัติการฯ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> จริยา ตะลังวิทย์ Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์ 2024-12-27 2024-12-27 6 1 82 93 ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา ในจังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/255823 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21ของสถานศึกษาในจังหวัดอุดรธานี 2) ระดับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในจังหวัดอุดรธานี 3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในจังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 355 คน โดยใช้การเทียบสัดส่วนและวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในจังหวัดอุดรธานีโดยภาพรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ทักษะการเปลี่ยนแปลงและการใช้เทคโนโลยี และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ทักษะการสื่อสารและการสร้างความร่วมมือ 2) การบริหารงานวิชาการ<br />ของสถานศึกษาในจังหวัดอุดรธานีโดยภาพรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การพัฒนาสื่อและนวัตกรรมทางการศึกษา และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ 3) ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในจังหวัดอุดรธานี มีความสัมพันธ์กันเชิงเส้นระดับสูงในทิศทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์ 2024-12-27 2024-12-27 6 1 94 108 Mediation Effects of Psychological Empowerment and Teachers’ Professional Identity on Relationship Between Perceived Organizational Support and Teachers’ Work Engagement of Higher Vocational Colleges in Anyang City, Henan Province https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/256781 <p> The research objectives were: (1) to develop a model of mediation effects of psychological empowerment (PE) and teachers' professional identity (TPI) on the relationship between perceived organizational support (POS) and teachers' work engagement (TWE) of Higher Vocational Colleges in Anyang City, and (2) to decompose the effects of POS, PE and TPI on TWE of Higher Vocational Colleges in Anyang City. The sample was 368 teachers from higher vocational institutions in the Anyang city, by proportional stratified random sampling method. The data were collected by a five-scale rating questionnaire. Data were analyzed by mean, standard deviation, confirmation factor analysis and structural equation model.</p> <p> The result found that; (1) the model of mediation effects of psychological empowerment and teachers' professional identity on relationship between perceived organizational support and teachers' work engagement of Higher Vocational Colleges in Anyang city was fit well with empirical data (c²/df=2.892, GFI=0.947, NFI=0.969, IFI=0.979, CFI=0.979, TLI=0.970, RMSEA=0.072) and 2) the perceived organizational support had a positive direct effect on teachers' work engagement and psychological empowerment. The psychological empowerment had a positive direct effect on teachers' professional identity, and teachers' professional identity had direct effect on teachers' work engagement. Moreover, perceived organizational support had indirect effect on teachers' work engagement through psychological empowerment and teachers' professional identity, there were mediation effect.</p> Yang Yantao Sataporn Pruettikul Sukhoom Moonmuang Copyright (c) 2024 คุรุสภาวิทยาจารย์ 2024-12-27 2024-12-27 6 1 109 121