คุรุสภาวิทยาจารย์
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal
<p> <strong>คุรุสภาวิทยาจารย์</strong></p> <p> คุรุสภาวิทยาจารย์เป็นวารสารที่มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและการพัฒนาวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา ทางด้านวิทยาศาสตร์ ด้านสังคมศาสตร์ และด้านศึกษาศาสตร์ ซึ่งเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ การเปลี่ยนแปลง สร้างความตระหนักให้ความสำคัญกับนักเรียน ครู และการศึกษา เพื่อให้ครูปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ การพัฒนาและยกระดับจัดการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อศิษย์ และการประกอบวิชาชีพทางการศึกษา รวมทั้งวิชาชีพการศึกษา เพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูเป็นครูที่มีจิตวิญญาณความเป็นครู และมีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงในการเข้าสู่วิชาชีพ เพื่อให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาทุกมิติตามศักยภาพและความถนัด ให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีคุณภาพ พร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเพื่อให้วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง ทั้งนี้เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา นิสิต นักศึกษา และนักวิจัย</p> <p><strong>ขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์</strong><br /> รับตีพิมพ์บทความ จำนวน 3 สาขา ได้แก่ 1) ด้านวิทยาศาสตร์ 2) ด้านสังคมศาสตร์ 3) ด้านศึกษาศาสตร์</p> <p><strong>ประเภทบทความ (บทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)</strong><br /> 1. บทความวิจัย <br /> 2. บทความวิชาการ </p> <p><strong>รูปแบบการกลั่นกรองบทความก่อนลงตีพิมพ์ (Peer reviews) </strong></p> <p><strong> (Double-blind peer review) <br /></strong> - ผู้ประเมินบทความ (Reviewer) ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง (Author) <br /> - ผู้แต่ง (Author) ไม่ทราบชื่อผู้ประเมิน (Reviewer)</p> <p><strong>จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิในการพิจารณา <br /></strong> ไม่น้อยกว่า 2 ท่าน<br /><br /><strong>กำหนดเผยแพร่<br /></strong> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เมษายน (เผยแพร่ก่อนสิ้นเดือนมกราคม)<br /> ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม (เผยแพร่ก่อนสิ้นเดือนพฤษภาคม)<br /> ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม (เผยแพร่ก่อนสิ้นเดือนกันยายน)</p> <p><strong>กำหนดตีพิมพ์ฉบับละ 8-12 บทความ (๋<a href="https://drive.google.com/drive/folders/1P3PeUzdI9f2A_cSz71jqKjmB77k9tUfn?usp=share_link" target="_blank" rel="noopener">Journal Template</a>)<br /></strong> บทความวิจัย 7 - 11 บทความ และ<br /> บทความวิชาการ 1 - 2 บทความ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการลงบทความในวารสาร<br /></strong><em> ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการลงบทความในวารสาร</em></p> <p><strong>รูปแบบการอ้างอิงเอกสาร<br /></strong> <a href="https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/about/submissions" target="_blank" rel="noopener">American Psychilogical Association (APA 7th Edition)</a></p> <p><strong>บรรณาธิการ</strong> <br /> <a href="https://search.tci-thailand.org/author.html?b3BlbkF1dGhvciZpZD04NjM0OCZhcnRpY2xlX2lkPTgxOTkxMw" target="_blank" rel="noopener">ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม</a> สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา</p>
สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ
th-TH
คุรุสภาวิทยาจารย์
1513-1912
<p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารคุรุสภาวิทยาจารย์ ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการคุรุสภาวารสารไม่จาเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารคุรุสภาวิทยาจารย์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารคุรุสภาวิทยาจารย์ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนาทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทาการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จากวารสารคุรุสภาวิทยาจารย์ก่อนเท่านั้น</p>
-
การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/253013
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานแบบแผนที่ใช้ในการวิจัย คือ การวิจัยกึ่งทดลอง ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One-Group Pretest-Posttest Desion) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 25666 โรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี จำนวน 24 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน แบบทดสอบวัดความสามารถ ในการคิดแก้ปัญหาและแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (X) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบค่าที (T-Test) แบบ T-Test for Dependent Samples<br />ผลวิจัยพบว่า ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบปัญหาเป็นฐาน มีความพึงพอใจเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.81 คะแนน อยู่ในระดับพึงพอใจมาก</p>
ณัชชา อินทร์รักษา
ทิพย์อุบล ทิพเลิศ
Copyright (c) 2025 คุรุสภาวิทยาจารย์
2025-05-31
2025-05-31
6 2
19
31
-
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวิธีการจัดการเรียนรู้แบบสตีมศึกษาบูรณาการพื้นที่ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนและรอยเลื่อนแม่จันที่มีต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ (ว 22102) สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแม่จันวิทยาคม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/256787
<p>การวิจัยครั้งมีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลลัพธ์การเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงนผิวโลก และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวิธีการจัดการเรียนรู้แบบสตีมศึกษาบูรณาการพื้นที่ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนและรอยเลื่อนแม่จัน รายวิชาวิทยาศาสตร์ (ว 22102) เรื่อง การเปลี่ยนแปลงนผิวโลก กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนแม่จันวิทยาคม เครื่องมือที่ใช้ใช้ในการวิจัย คือ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับวิธีการจัดการเรียนรู้แบบสตีมศึกษาบูรณาการพื้นที่ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนและรอยเลื่อนแม่จัน และคู่มือการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินสมรรถนะการเรียนรู้ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธมศึกษาปีที่ 2 ผลการศึกษา พบว่า ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนสูงกว่าเกณฑ์ 80% ที่ตั้งไว้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
กาญจนา ยะใจมั่น
Copyright (c) 2025 คุรุสภาวิทยาจารย์
2025-05-31
2025-05-31
6 2
32
48
-
การพัฒนาความสามารถการเขียนเรียงความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับแนวคิดคติชนสร้างสรรค์ บูรณาการวิถีน่าน
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/255629
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถการเขียนเรียงความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกัมกับแนวคิดคติชนสร้างสรรค์บูรณาการวิถีน่าน 2) เปรียบเทียบความสามารถการเขียนเรียงความหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีพื้นความรู้วิชาภาษาไทยต่างกัน หลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแนวคิดคติชนสร้างสรรค์บูรณาการวิถีน่าน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 โรงเรียนสตรีศรีน่าน ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบวัดและเกณฑ์การให้คะแนนความสามารถการเขียนเรียงความ และแบวัดความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Dependent Sample T-Test และ One-Way ANOVA ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนมีความสามารถการเขียนเรียงความหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) นักเรียนที่มีพื้นความรู้วิชาภาษาไทยต่างกันหลังเรียน มีความสามารถการเขียนเรียงความไม่ต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติติที่ระดับ 0.05 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
กมลลักษณ์ ทนันไชย
สมชาย ทุนมาก
Copyright (c) 2025 คุรุสภาวิทยาจารย์
2025-05-31
2025-05-31
6 2
49
64
-
การพัฒนาชุดปฏิบัติการ เรื่อง สารประกอบเชิงซ้อนของธาตุโลหะแทรนซิชัน สำาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย มุกดาหาร
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/256397
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาชุดปฏิบัติการ เรื่อง สารประกอบเชิงช้อนของ ธาตุโลหะแทรนซิชัน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 24 คน แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสีของสารประกอบเชิงช้อนของแอนโทไชยานิน จากสารสกัดดอกอินทนิลและไอออนของธาตุโลหะแทรนชิชัน ระยะที่ 2 พัฒนาชุดปฏิบัติการ เรื่อง สารประกอบเชิงช้อนของธาตุโลหะแทรนซิชัน และระยะที่ 3 จัดการเรียนรู้ เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ ชุดปฏิบัติการ ซึ่งประกอบไปด้วย สารเคมี วัสดุอุปกรณ์และบทปฏิบัติการสำหรับการทดลองบทปฏิบัติการออกแบบตามการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น จำนวน 3 บทปฏิบัติการ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจ<br />เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ One-Sample T-Test<br />ผลการศึกษา พบว่า สีของสารประกอบเชิงซ้อนของแอนโทไซยานินจากสารสกัดดอกอินทนิลและไอออนของธาตุโลหะแทรนชิชันทุกชนิดสังเกตเห็นได้ชัดเจน ชุดปฏิบัติการ มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด บทปฏิบัติการมีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.76/87.02 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความพึงพอใจ ของนักเรียนอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
ธนพัฒน์ ทับไทสง
สุกัญญา กึ่งกลาง
วิชุดา แสนปากดี
Copyright (c) 2025 คุรุสภาวิทยาจารย์
2025-05-31
2025-05-31
6 2
65
83
-
การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาการเขียนโต้แย้งของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/256999
<p>การเขียนโต้แย้งเป็นทักษะความสามารถที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของผู้เรียน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะหลักษณะปัญหาการเขียนโต้แย้งของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย และ 2) วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาการเขียนโต้แย้งของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนแห่งหนึ่งในสังกัด อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เขต 1 จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบวัดความสามารถในการโต้แย้งและแบบสัมภาษณ์นักเรียนวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะปัญหาการเขียนโต้แย้งของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมี 4 ด้าน ตามองค์ประกอบความสามารถในการเขียนโต้แย้ง ได้แก่ 1) การนำเสนอประเด็นการโต้แย้ง 2) การใช้หลักฐานสนับสนุน 3) การจัดลำดับความคิด และ 4) การใช้ระดับภาษา ส่วนสาเหตุของปัญหาการเขียนโต้แย้งของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มี 2 ประเด็น คือ 1) สาเหตุที่มาจากความรู้และประสบการณ์ ได้แก่ ขาดประสบการณ์ในการเขียนโต้แย้ง ขาดการฝึกฝนและการเรียนรู้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ขาดความขัดเจนในการระบุความคิดเห็นและการใช้หลักฐานสนับสนุน และขาดความเข้าใจในความหมายและหลักการของการเขียนโต้แย้ง และ 2) สาเหตุที่มาจากวิธีการเรียนของนักเรียน ได้แก่ การเรียนจากแหล่งข้อมูลที่ไม่หลากหลาย ขาดการฝึกฝนที่ต่อเนื่อง ขาดการสนับสนุนจากครูและเพื่อน และวิธีการเรียนที่ไม่เน้นการปฏิบัติจริง</p>
กระต่าย วิรัชยานกูล
กุลสตรี มันทิกะ
ณัฏฐภัทร มูลหิลัญจน์เดชา
Copyright (c) 2025 คุรุสภาวิทยาจารย์
2025-05-31
2025-05-31
6 2
84
101
-
การเสริมสร้างความฉลาดรู้ทางเศรษฐกิจและทักษะการคิดเชิงคำนวนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ด้วยการจัดการเรียนรู้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ร่วมกับการแก้ปัญหา ด้วยอัลกอริทึม
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/257323
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลความฉลาดรู้ทางเศรษฐกิจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายด้วยการจัดการเรียนรู้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับการแก้ปัญหาด้วยอัลกอริทีม 2) พัฒนาทักษะการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้<br />ทางเศรษฐศาสตร์เพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางเศรษฐกิจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายอย่างยั่งยืน กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 37 คน โดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน รวม 10 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบประเมินความฉลาดรู้ทางเศรษฐกิจก่อนและหลังเรียน จำนวน 20 ข้อ 3) แบบประเมินทักษะการคิดเชิงคำนวณ จำนวน 5 ข้อ 4) แบบประเมินผลการจัดการเรียนรู้ และ 5) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (X) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (5.D.) ร้อยละ (%) และการทดลอบค่าที (T-Test) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีคะแนนความฉลาดรู้ทางเศรษฐกิจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) นักเรียนร้อยละ 78.38 มีคะแนนทักษะการคิดเชิงคำนวนผ่านผ่านเกณฑ์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 15.76 (5.D.=2.76) คิดเป็นร้อยละ 78.81 และ 3) แนวทางการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางเศรษฐกิจของนักเรียนมัธมศึกษาตอนปลายอย่างยั่งยืน ควรพิจารณาประเด็นสำคัญ เพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนกับชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง</p>
สรายุธ รัศมี
อังคณา ตุงคะสมิต
เพชรสุดา ศรีปลัดกอง
Copyright (c) 2025 คุรุสภาวิทยาจารย์
2025-05-31
2025-05-31
6 2
102
119
-
นวัตกรรมเชิงกระบวนการขับเคลื่อนคุณภาพแบบเสริมพลังอำนาจ สู่การเป็นสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขนาดเล็กขีดสมรรถนะสูง: กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านวังเต่า จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/255638
<p>การวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนานวัตกรรมเชิงกระบวนการขับเคลื่อนคุณภาพแบบเสริมพลังอำนาจสู่การเป็นสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขนาดเล็กขีดสมรรถนะสูง โดยมีการดำเนินการ 4 ชั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาสภาพและแนวทางการขับเคลื่อนคุณภาพแบบเสริมพลังอำนาจสู่การเป็นสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขนาดเล็กขีดสมรรถนะสูง 2) สร้างนวัตกรรมเชิงกระบวนการขับเคลื่อนคุณภาพแบบเสริมพลังอำนาจสู่การเป็นสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขนาดเล็กขีดสมรรถนะสูง 3) ทดลองใช้นวัตกรรมเชิงกระบวนการ และ 4) ประเมินผลการใช้นวัตกรรมเชิงกระบวนการ ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย คือ ครูโรงเรียนบ้านวังเต่า จำนวน 11 คน โดยใช้เครื่องมือ ได้แก่ แบบสังเคราะห์เอกสาร แบบบันทึกการสนทนากลุ่มและแบบประเมิน แล้ววิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />ผลการศึกษา พบว่า นวัตกรรมเชิงกระบวนการขับเคลื่อนคุณภาพแบบเสริมพลังอำนาจสู่การเป็นสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขนาดเล็กขีดสมรรถนะสูง มืองค์ประกอบหลัก 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การมีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ 2) การบริหารจัดการทุนมนุษย์ 3) การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ 4) การบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์กร 5) การจัดโครงสร้างองค์กร 6) การมีธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม และ 7) การสร้างวัฒนธรรมองค์กร</p>
ขจรศักดิ์ เขียวน้อย
Copyright (c) 2025 คุรุสภาวิทยาจารย์
2025-05-31
2025-05-31
6 2
120
138
-
ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาที่เป็นเลิศกับการบริหารเชิงกลยุทธ์ ของโรงเรียนวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/257258
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับทักษะของริหารสถานศึกษาที่เป็นเลิศของโรงเรียนวิทยาศาสตร์ 2) ระดับการบริหารเชิงกลยุทธ์ของโรงเรียนวิทยาศาสตร์ และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาที่เป็นเลิศกับการบริหารเชิงกลยุทธ์ของโรงเรียนวิทยาสตร์ในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนวิทยาศาสตร์ กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้สูตรทาโร ยามาเน่ จำนวน 367 คน จากการเทียบสัดส่วนและสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรูฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลจากการวิจัยพบว่า 1) ระดับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาที่เป็นเลิศของโรงเรียนวิทยาศาสตร์ โดยภาพรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ทักษะการมุ่งสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ 1) ทักษะการสื่อสารและการสร้างความร่วมมือ 2) การบริหารเชิงกลยุทธ์ของโรงเรียนวิทยาศาสตร์โดยภาพรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ กลยุทธ์การเสริมสมรรถนะและการพัฒนาบุคลากร และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ กลยุทธ์การนิเทศการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และ 3) ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาที่เป็นเลิศกับการบริหารเชิงกลุ่ทธ์ มีความสัมพันธ์<br />กันเชิงเส้นระดับสูงในทิศทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ
อุษณีย์ สีนนลี
ณัฐชยา สมมาศเดชสกุล
วดิธ ยลชื่น
Copyright (c) 2025 คุรุสภาวิทยาจารย์
2025-05-31
2025-05-31
6 2
139
156
-
กิจกรรมศิลปะประดิษฐ์ สู่เส้นทางอาชีพ: กรณีศึกษาสู่สถานแรกรับเด็กหญิงบ้านธัญญพร จังหวัดปทุมธานี
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/257371
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการกิจกรรมศิลปะประดิษฐ์ที่ส่งเสริมการประกอบอาชีพของเด็กหญิงในสถานแรกรับบ้านธัญญพร จังหวัดปทุมธานี และ 2) ศึกษาผลการจัดกิจกรรมศิลปะประดิษฐ์ กรณีศึกษาสถานแรกรับเด็กหญิงบ้านธัญญูพร จังหวัดปทุมธานี การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Pre-Experiment) แบบกลุ่มเดียว (One-Shot Case Study) กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กหญิงอายุระหว่าง 12-17 ปี ในสถานแรกรับเด็กหญิงบ้านธัญญพร จังหวัดปทุมธานี จำนวน 25 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามความต้องการกิจกรรมศิลปะประดิษฐ์ที่ส่งเสริมการประกอบอาชีพ แผนการจัดกิจกรรมศิลปะประดิษฐ์ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อกิจกรรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย<br />และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-17 ปี (ร้อยละ 60.0) และกำลังศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ร้อยละ 60.0) ต้องการประเภทกิจกรรมศิลปะประดิษฐ์ที่ส่งเสริมการประกอบอาชีพ ประเภทงานของขวัญของที่ระลึก มากที่สุด (ร้อยละ 28.0) และ 2) ผลการจัดกิจกรรม<br />ศิลปะประดิษฐ์มีคุณภาพผลงานโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.21) ด้านความสวยงาม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (ค่าเฉลี่ย 4.32) ส่วนความพึงพอใจต่อกิจกรรมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.55) โดยด้านประโยชน์ที่ได้รับมีความพึงพอใจสูงสุด (ค่าเฉลี่ย 4.65)</p>
หัฏฐพล อำภารส
Copyright (c) 2025 คุรุสภาวิทยาจารย์
2025-05-31
2025-05-31
6 2
157
173
-
Anywhere Anytime เรียนได้ทุกที่ทุกเวลากับการพัฒนาสมรรถนะสู่อนาคต: ปลดปล่อยการเรียนรู้ไร้ขีดจำกัด
https://ph02.tci-thaijo.org/index.php/withayajarnjournal/article/view/253832
<p>ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง "Anywhere Anytime" เป็นแนวคิดใหม่ที่มุ่งเน้นการเรียนรู้แบบไร้ขีดจำกัดช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมทางการศึกษา โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับอนาคต เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนก้าวสู่โลกแห่งการทำงานและการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 ด้วยศักยภาพเต็มที่ การเรียนรู้จะไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนหรือสถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่จะแพร่กระจายไปทุกพื้นที่ ทุกช่วงเวลา เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนอย่างแท้จริง ซึ่งผู้นิพนธ์บทความได้นำเสนอองค์ความรู้ใหมในการพัฒนาสมรรถนะสู่อนาคต: ปลดปล่อยการเรียนรู้ไร้ขีดจำกัดตามแนวคิด Anywhere Anytime เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) กระบวนการพัฒนาสมรรถนะสู่อนาคต ปลดปล่อยการเรียนรู้ไร้ขีดจำกัด ตามแนวคิด Anywhere Anytime เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ประกอบด้วย การออกแบบหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนรู้แบบยึดหยุ่นและบูรณากาการ การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบ Anywhere Anytime การปรับบทบาทครูเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้และผู้สนับสนุนการเรียนรู้ การสร้างเครือข่ายเรียนรู้และระบบส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) บทบาทผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ผู้บริหาร ผู้สอน ผู้เรียน ผู้ปกครอง 3) สมรรถนะที่คาดหวังของนักเรียนในอนาคต และ 4) การนำแนวทางไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม</p>
วรพล ศรีเทพ
Copyright (c) 2025 คุรุสภาวิทยาจารย์
2025-05-31
2025-05-31
6 2
1
16