การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการอัดเศษอลูมิเนียม กรณีศึกษา บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
Main Article Content
บทคัดย่อ
บริษัทตัวอย่างเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนให้กับค่ายรถยนต์ชั้นนำหลายรายทำให้เกิดเศษโลหะจากการขึ้นรูปเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะเศษอลูมิเนียม งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเศษอลูมิเนียมที่เหลือจากกระบวนการผลิตด้วยวิธีการอัดให้เป็นก้อนด้วยเครื่องอัด จากการศึกษาและเก็บข้อมูลพบว่าเครื่องอัดสามารถเศษอัดอลูมิเนียมได้สูงสุด 1,440 กิโลกรัมต่อการทำงานปกติ 8 ชั่วโมง แต่ปัจจุบันเครื่องสามารถอัดเศษอลูมิเนียมได้เฉลี่ยเพียง 266 กิโลกรัมต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 18.47 ของประสิทธิภาพสูงสุดในการอัด จากการสังเกตพบว่าก้อนอลูมิเนียมที่ผ่านการอัดมีขนาดและน้ำหนักต่างกัน โดยมีน้ำหนักเฉลี่ยที่ 0.37 กิโลกรัมต่อก้อน แต่ประสิทธิภาพเครื่องอัดสามารถอัดได้สูงสุดถึง 2 กิโลกรัมต่อก้อน ผู้วิจัยใช้หลักการ 3 จริง ไปสังเกตุสถานที่ทำงานจริง กระบวนการผลิตชิ้นงานจริง และข้อมูลปัญหาจริงที่เกิดขึ้น พบว่าก้อนอลูมิเนียมที่ผ่านการอัดจะมีความหนา 3
ขนาด คือ 1.5-2.5 เซนติเมตร, 4-6 เซนติเมตร, 7-10 เซนติเมตร การระดมสมองจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจึงถูกนำมาใช้โดยผ่านการวิเคราะห์ปัญหาด้วยหลักการตั้งคำถาม ทำไม ทำไม พบว่าขนาดและน้ำหนักของก้อนอลูมิเนียมที่ผ่านการอัดมีผลโดยตรงจากลักษณะของเศษที่เกิดจากการขึ้นรูปหากเศษมีลักษณะใหญ่ก้อนอลูมิเนียมจะมีขนาดสั้นและมีน้ำหนักเบาแต่หากเศษมีลักษณะเล็กก้อนอลูมิเนียมจะมีขนาดยาวและมีน้ำหนักมาก หลักการตั้งคำถาม 5W1H จึงถูกนำมาใช้ในการกำหนดแนวทางการแก้ไข ด้วยการเสนอให้มีการย่อยเศษอลูมิเนียมให้มีขนาดเล็กเท่ากันก่อนนำเข้าเครื่องอัดโดยผ่านระบบสายพานลำเลียงเพื่อลดเวลาและความเมื่อยล้าของพนักงาน ผลการปรับปรุงพบว่าสามารถเพิ่มน้ำหนักของก้อนอลูมิเนียมเฉลี่ยได้ 1.86 กิโลกรัมต่อก้อน คิดเป็น ร้อยละ 93.00 ของประสิทธิภาพเครื่องอัด อัดเศษอลูมิเนียมได้เฉลี่ย 1,339 กิโลกรัมต่อการทำงานปกติ 8 ชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 93.00 เพิ่มขึ้นร้อยละ 74.53 ของประสิทธิภาพการอัดก่อนการปรับปรุง และเพิ่มมูลค่าการขายจาก 9,857 บาทต่อวัน เป็น 49,550 บาทต่อวัน เพิ่มขึ้น 39,693 บาทต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 402
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารฯ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะได้รับอนุญาต แต่ห้ามนำไปใช้เพื่่อประโยชน์ทางธุรกิจ และห้ามดัดแปลง
เอกสารอ้างอิง
อภิชัย จินดารักษ์. “แนวทางการบริหารจัดการเศษวัสดุโลหะ: กรณีศึกษาผู้ผลิตเครื่องยนต์ดีเซล” วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน คณะโลจิสติกส์, มหาวิทยาลัยบูรพา, 2559.
ปฐมพงษ์ หอมศรี และ จักรพรรณ คงธนะ. 2555.การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยใช้แนวคิดการผลิตแบบลีน: กรณีศึกษาโรงงานผลิตปั๊มน้ำรถยนต์. Kasem Bundit Engineering Journal Vol.2 No.2 (July - December 2012): 40-62
ศรินยา ประทีปชนะชัย และภีม พรประเสริฐ. “การลดของเสียในกระบวนการเย็บเบาะรถยนต์: กรณีศึกษาบริษัทผลิตเบาะรถยนต์,” การประชุมวิชาการราชมงคลด้านเทคโนโลยีการผลิตและการจัดการ, หน้า 10-16, 2563.
รื่นฤดี โยธาคุณ, วรรณกร นามนู, สุพรรณี อึ้งปัญสัตวงศ์, การลดความสูญเสีย 7 ลักษณะในโรงงานอุตสาหกรรม, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, หน้า 1-10, 2560.
สุพัฒตรา เกษราพงศ์ และคณะ. “การลดของเสียในกระบวนการผลิตท่อไอเสียรถจักรยานยนต์,” งานประชุมวิชาการข่ายงานวิศวกรรมอุตสาหการ ประจำปี 2555, หน้า 105-112, 2555.
ยุทธณรงค์ จงจันทร์ และคณะ, “การเพิ่มผลผลิตในกระบวนการผลิตแป้งตลับด้วยเทคนิคการออกแบบอุปกรณ์จับยึด,” การประชุมวิชาการข่ายงานวิศวกรรมอุตสาหการ ประจำปี 2559, หน้า 76-85, 2559.
มารุต แร่มี และธีระพงศ์ เซ่ซัง. “การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตด้วยเทคนิคของลีน: กรณีศึกษากระบวนการผลิตอิฐบล็อก.” การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ 3, หน้า 18-23, 2561.
วิศรุต ถวิลวงศ์สุริยะ และคณะ. 2558. การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าแผ่นแปะกระเป๋า 7-ELEVEN.Kasem Bundit Engineering Journal Vol.5 No.2 (July - December 2015): 186-198