ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานระบาดวิทยาของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ประจำสถานีอนามัยในจังหวัดตรัง

Abstract

การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานระบาดวิทยา ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำสถานีอนามัยในจังหวัดตรัง กลุ่มเป้าหมายคือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขผู้รับผิดชอบ งานระบาดวิทยาของสถานีอนามัยในจังหวัดตรังทุกแห่งๆ ละ 1 คน รวม 125 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1) คุณลักษณะด้านประชากร 2) ปัจจัยสนับสนุนจากองค์กร 3) ปัจจัยแรงจูงใจ 4) การปฏิบัติงานด้านระบาดวิทยา ค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์รายข้อ (IOC) อยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบสอบถามด้านปัจจัยสนับสนุน จากองค์กร ปัจจัยแรงจูงใจ และการปฏิบัติงานด้านระบาดวิทยาเท่ากับ 0.90, 0.96 และ 0.96 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิตเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยอย่างง่าย ผลการวิจัยพบว่า ระดับการปฏิบัติงานระบาดวิทยาภาพรวมอยู่ระดับสูง (x=3.77, S.D.= 0.50) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า การแจ้งข่าวการระบาด (x = 4.04, S.D. = 0.58) การสอบสวนและควบคุมโรค (x=3.88, S.D. = 0.56) การรายงานโรค (x=3.87 S.D. = 0.55) และการตรวจสอบข้อมูล (x= 3.81, S.D. = 0.70) อยู่ใน ระดับสูง และการวิเคราะห์ข้อมูลและแปลความหมาย อยู่ในระดับปานกลาง (x= 3.26, S.D. = 0.70) ส่วนปัจจัย ที่มีผลต่อการปฏิบัติงานระบาดวิทยาของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำสถานีอนามัยพบว่า ประสบการณ์ด้าน ระบาดวิทยา (Beta = 0.200, R2 = 0.040, p = 0.038) การได้รับฝึกอบรมด้านระบาดวิทยา (Beta = 0.216, R2 = 0.047, p-value = 0.025) การสนับสนุนจากองค์กร (Beta = 0.426, R2 = 0.182, p = <0.001) ปัจจัยค้ำจุน (Beta = 0.375, R2= 0.141, p = <0.001) และปัจจัยจูงใจ (Beta= 0.541, R2= 0.293, p = <0.001) มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อการปฏิบัติงานระบาดวิทยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติข้อเสนอแนะ องค์กรสาธารณสุขควรสนับสนุนการปฏิบัติงานระบาดวิทยาอย่างเหมาะสมและเพียงพอ โดยเฉพาะอัตรากำลังของบุคลากร และสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานระบาดวิทยาให้มีความก้าวหน้าใน หน้าที่การงาน เงินเดือนและสวัสดิการเท่าเทียมกับงานอื่นๆ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการทำงาน และควรจัด ฝึกอบรมการวิเคราะห์ข้อมูลและแปลความหมายเพื่อให้เกิดทักษะและพัฒนางานระบาดวิทยาต่อไป